#SneakTheStyle วันนี้จะขอนำคุณมาพบกับหนึ่งในแร็ปเปอร์หนุ่มสุดฮอตจาก The Rapper รายการประกวดเพลงฮิปฮอปยอดนิยมจากทางช่อง Workpoint TV อย่าง U-rius หรือ ยู-อนุสรณ์ แสนรัก แร็ปเปอร์หนุ่มที่หลายคนน่าจะจดจำเขากันได้ดี จากลีลาการแร็ปที่ดุดันบนเวทีรวมไปถึงสไตล์การแต่งตัวและทรงผมอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเจ้าตัวเอ่ยปากพูดกับเราเองว่าทั้งชีวิตนี้เขามีสิ่งที่ทำได้ดีอยู่เพียง 2 สิ่ง นั่นคือการเป็น “แร็ปเปอร์” และ “ช่างทำผม” ซึ่งเขาได้พิสูจน์ความสามารถทั้งสองอย่างให้พวกเราประจักษ์กันไปแล้วกับทุกโชว์บนเวที The Rapper และร้านทำผมของเจ้าตัวที่มีชื่อว่า 21-AK
ช่วงบ่ายของวันนั้นเราเดินทางมาที่ตลาดนัด JJ Green สถานที่ตั้งร้านของแร็ปเปอร์หนุ่มและยังเป็นสถานที่สำหรับการสนทนากันในวันนี้ โดยทันทีที่มาถึงเขาก็เข้ามาต้อนรับและทักทายกับพวกเราอย่างเป็นกันเองก่อนจะขอตัวไปจัดการเปิดร้านให้เรียบร้อยเสียก่อน เราจึงถือโอกาสเดินสำรวจภายในร้านที่ถูกตกแต่งมาเพื่อบ่งบอกตัวตนของเจ้าของร้านจริงๆ ทั้งแสงไฟนีออนสีชมพูภาพกราฟิตี้และรายชื่อผลงานเพลงของเจ้าตัวซึ่งถูกเขียนไว้บนกำแพง หลังจากใช้เวลาไม่นานในการจัดเตรียมร้านบทสนทนาระหว่างเราก็เริ่มขึ้น ถึงแม้ว่าแร็ปเปอร์หนุ่มจะออกตัวว่าเป็นคนพูดไม่เก่งแต่ด้วยความเฟรนด์ลี่ของเขาก็ทำให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น ซึ่งเขาได้บอกเล่าเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมดและเบื้องหลังความสำเร็จบนเวที The Rapper ให้พวกเราฟังกันอย่างหมดเปลือก
คุณเริ่มต้นสนใจเพลงแนวฮิปฮอปตั้งแต่เมื่อไร
ผมเริ่มสนใจเพลงแนวฮิปฮอปช่วงประมาณปี 2000 ต้นๆ ตอนนั้นเรายังเป็นนักเรียนมัธยมอยู่เลย เพลงที่ฮิตและฟังในช่วงนั้นจะเป็นอัลบั้ม AA Mixtape ของ Thaitanium ซึ่งฮิปฮอปยุคนั้นจะชอบแต่งตัวกันด้วยเสื้อผ้าตัวใหญ่ๆ และเราเองก็ทำร้านอยู่กับพี่ชายที่ตะวันนาเลยเริ่มซึมซับการฟังเพลงและแต่งตัวมาตั้งแต่ตอนนั้น ส่วนเหตุผลที่ผมเริ่มทำเพลงเองเพราะเห็นเพื่อนที่เรียนอยู่ด้วยกันเขาทำ เลยคิดว่าทำไมเราจะทำไม่ได้แค่นั้นเอง แต่ต้องยอมรับว่ายุคนั้นเรายังเด็กผลงานที่ทำมาไม่เป็นที่รู้จักหรือยอมรับอะไรหรอก แต่การได้ทดลองทำเพลงเองมันก็มีข้อดีคือทำให้เรารู้จริตของตัวเอง ว่าเราชอบฟังเพลงแบบไหน ถนัดการร้องแบบไหน อย่างตัวผมจะค่อนข้างชอบการแร็ปแบบคนผิวขาวมากกว่า เพราะพวกเขาถอดแบบมาจากคนผิวดำอีกทีหนึ่ง ทำให้เราสามารถถอดแบบและนำมาใช้กับการร้องของเราได้ง่ายกว่า
หลังจากนั้นไม่นานผมก็ตั้งวงดนตรีแนวเร็กเก้กับเพื่อนขึ้นมาชื่อวงว่า “ไทเดินเล่น” ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดนตรีแนวนี้กำลังบูมอยู่พอดี แต่ตำแหน่งในวงผมก็ยังทำหน้าที่เป็นแร็ปเปอร์นะ คือเป็นแร็ปเปอร์อย่างจริงจังไม่ใช่แร็ปแบบมัฟฟินหรือแดนซ์ฮอล คือด้วยความที่มันเป็นวงดนตรีทำให้มันเกิดช่องว่างที่จะหลีกทางให้ผมแร็ปในแบบที่จะทำได้ ซึ่งพอหลังจากที่วงของเราแยกย้ายกันไป ผมก็เริ่มเบื่อวงการดนตรีแต่ก็ยังทำเพลงคนเดียวอยู่
แล้วชีวิตมาเกี่ยวพันกับการเป็นช่างตัดผมได้อย่างไร
เราเริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับการตัดผมมาได้ประมาณเจ็ดปีแล้ว คือก่อนหน้านี้ผมทำวงดนตรีกับเพื่อนมาตลอดแต่รู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นคนสมาธิสั้น เลยอยากลองหาอะไรทำสักอย่างเพื่อฝึกสมาธิของตัวเองดู แล้วเผอิญว่าเราชื่นชอบเรื่องการทำผมอยู่แล้วเลยลองลงมือฝึกทำกับเพื่อนๆ ช่วงแรกเราจะเน้นไปที่การทำผมทรงฮิปฮอปแบบที่เราชอบก่อนตั้งแต่การตัดสกินเฮด การถักเดรดล็อค ไปจนถึงการดัดฟรอย จนพอมาถึงจุดหนึ่งเราจึงเริ่มขยับไปทำทรงที่มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น มารู้ตัวอีกทีเราก็โยนตัวเองเข้ามาวงการทำผมแบบจริงจังแล้ว จนมาเปิดร้านตัดผมของตัวเองในที่สุด
คือตัวผมเองทำสองสิ่งนี้ควบคู่กันมานานแล้ว แต่เพิ่งจะมาจับอาชีพนี้แบบเต็มตัวตอนที่เปิดร้าน 21-AK นี่เองครับ ก่อนหน้านี้ผมเคยทำรายการที่ชื่อว่า U-rius Free Cut คือเวลาผมไปเล่นคอนเสิร์ตที่ไหนเราจะไปตัดผมให้ฟรีที่นั่น ซึ่งเราก็ไม่ได้มีฝีมือมากมายอาศัยเรียนรู้กันเองแบบงูๆ ปลาๆ กับเพื่อน แต่จุดเปลี่ยนคือช่วงที่วงดนตรีของผมแยกตัวกันไป ทำให้ผมรู้สึกเบื่อวงการดนตรีไปพักใหญ่ เลยหันมายึดอาชีพช่างทำผมแบบจริงจังมาได้สองปีแล้วครับ
ทำไมถึงใช้ชื่อร้านว่า 21-AK
ตัวเลข 21 มาจากอันดับของตัวอักษร U ในภาษาอังกฤษ ส่วน AK มาจากอักษรตัวแรกของชื่อ และอักษรตัวสุดท้ายของนามสกุล ผมชอบชื่อนี้เพราะมันมีความเป็นตัวเราจริงๆ และอีกเหตุผลคือผมไม่อยากจะใช้ชื่อว่า U-rius หรืออะไรทำนองนั้นเพราะเราต้องทำงานร่วมกับอีกหลายคน ซึ่งผมคิดว่าเขาคงเขินนะถ้ามาใช้ชื่อของเรา และชื่อ 21-AK มันดูมีความเป็นองค์กรมากกว่า
ดูเหมือนว่าคุณกำลังไปได้สวยกับการทำร้านตัดผม แล้วอะไรที่ทำให้คุณตัดสินใจหันกลับมาสนใจการแร็ปและลงแข่นขัน The Rapper
ตอนที่ออกมาทำร้านได้สักระยะหนึ่งผมคิดว่าจะไม่ยุ่งกับวงการดนตรีอีกแล้ว แต่สรุปเราทนได้อยู่พักเดียว เพราะรู้สึกเหมือนชีวิตขาดอะไรไปบางอย่าง ผมเลยเริ่มกลับมาทำเพลงอีกครั้งแต่รอบนี้เราทำเองคนเดียวเลยจนมีเพื่อนมาบอกว่ากำลังมีรายการนี้เกิดขึ้นและกำลังเปิดรับสมัครอยู่พอดี ซึ่งประจวบเหมาะกับจังหวะชีวิตและหลายสิ่งหลายอย่างพอดี ตอนนี้ผมเป็นศิลปินอิสระไม่มีวงดนตรีหรือสังกัดค่ายไหน และที่ผ่านมาการทำวงดนตรีด้วยระยะเวลา 9 ปี ผมถือว่าเป็นครึ่งชีวิตของคนวัยผมแล้ว เพื่อนที่ทำด้วยกันเขาก็ตัดสินใจไปมีครอบครัวและเลิกเล่น แต่เรายังอยากทำเพลงอยู่ อย่างที่บอกในรายการครับว่าเรามาเพื่อแข่งขันกับตัวเองจริงๆ ผมเลยตัดสินใจลงสมัครทันที
จากตอนแรกที่คุณคิดว่ามาแข่งขันกับตัวเอง แต่พอเข้ามาถึงรอบนี้แล้วความรู้สึกของคุณเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง
พอเราโยนตัวเองเข้าไปนับหนึ่งกับการแข่งขันแล้วต่อจากนี้คงหยุดไม่ได้แล้ว เพราะถึงจุดนี้เราก็อยากทำโชว์ออกมาให้ดีที่สุดถ้าทำไม่คงอายคนอื่นเขาแย่ครับ มาถึงรอบนี้คงไม่มีใครอยากตกรอบแล้วละครับ อีกอย่างผมเริ่มรู้สึกสนุกไปกับการทำโชว์เพื่อแข่งขันในแต่ละรอบแล้วครับ อย่างในรอบแบทเทิ่ลสามคนที่มีตัวผม LVRK และ 8Botsboyz พวกเราคุยกันแล้วว่าอยากจะทำโชว์นี้ออกมาให้มันดีที่สุด คือกลุ่มอื่นเขาเป็นอย่างไรกันผมไม่รู้นะ แต่สำหรับกลุ่มผมคือการทำงานเป็นทีมช่วยกันแต่งเพลง คือถ้าใครทำพลาดเราก็จะช่วยกันตอนนั้นเลย ซึ่งสุดท้ายแล้วมันออกมาเป็นโชว์ที่ดีและมันส์มาก ซึ่งพวกเราสามคนยังคุยกันไว้เลยว่าหลังจากรายการจบเราจะมาทำเพลงด้วยกันเอง
คุณเคยให้สัมภาษณ์ในรายการว่า The Rapper คือเวทีประกวดแรกในชีวิตของคุณ
The Rapper เป็นรายการแรกและรายการเดียวที่ผมจะลงแข่งแล้วครับ คือหลังจากนี้ผมไม่คิดว่าจะลงประกวดรายการไหนอีกแล้ว เพราะนับตั้งแต่ที่เราทำวงไทเดินเล่นกับเพื่อนๆ เราก็สังกัดค่ายเพลงตลอด เลยไม่มีโอกาสไปประกวดเวทีไหนเลย ไม่ได้บอกว่าผมเป็นคนเก่งนะครับแต่การที่เรามีสังกัดมีค่ายเพลงเราต้องแบกสิ่งเหล่านี้ไว้ตลอดเวลาด้วย คือคนอื่นอาจจะแพ้ได้แต่หากผมแพ้ขึ้นมามันจะส่งผลถึงสิ่งที่อยู่ข้างหลังด้วย อีกอย่างหนึ่งผมเป็นคนที่กลัวการแข่งขันที่ต้องมีคนมานั่งจับผิด ซึ่งผมเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยแล้วครับ ผมจบปริญาตรีจากมหาวิทยาลัยจันทรเกษม สาขาวิชาดนตรีสากล แน่นอนว่าเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันเขาลงประกวดดนตรีกันหมด มีแต่ผมที่จะไม่ลงประกวดอะไรกับเขาเลย เพราะคิดว่าตัวเองมีพื้นที่ส่วนตัวตรงนี้รองรับไว้แล้ว
นี่เป็นเรื่องที่คนทั่วไปยังไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับตัวผม ว่าผมเรียนจบทางด้านดนตรีและการร้องเพลงโดยตรงมา ซึ่งนี่น่าจะยืนยันได้ว่าเราเป็นคนดนตรีมาโดยตลอด และผมก็ทำงานเกี่ยวกับตรงนี้มาหลายอย่างแล้วด้วย ผมเคยไปสอนพิเศษร้องเพลงที่ KPN เคยเป็นคอรัสให้กับ พี่ปู-Blackhead หรือการเขียนเพลงขายก็เคยทำมาก่อน แต่เราเข้าใจทางทีมงาน The Rapper นะครับว่าถ้าหากนำเสนอว่าเราเป็นช่างตัดผมที่ร้องเพลงแร็ปมันจะดูคอนทราสและน่าสนใจกว่า แต่หลังจากจบรายการผมอยากจะพรีเซนต์ตัวเองเรื่องนี้เหมือนกันให้คนที่ทำงานกับเราเขามั่นใจว่าเราเป็นคนดนตรีจริงๆ
หลังจากที่รายการออกอากาศชีวิตของคุณเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
เรียกว่าเปลี่ยนแปลงไปในทางบวกแทบทุกด้านเลยครับ เหมือนกับสิ่งที่เราทำมาทั้งหมดมันถูกมองเห็นจากผู้ชมมากขึ้น และเราไม่ใช่คนที่เพิ่งมาทำงานด้านนี้แต่เราทำของเรามาเป็นสิบปีแล้ว จากเดิมที่ทำเพลงกับค่ายตัวเราเป็นเพียงนักดนตรีต้องคอยให้เขาช่วยเป็นสื่อให้ แต่พอมาแข่ง The Rapper มันเปลี่ยนให้ตัวผมเป็นสื่อเสียเองจากเมื่อก่อนที่ต้องใช้เวลาในการพูดเป็นชั่วโมงเพื่อนให้คนอื่นเชื่อ แต่พอเริ่มเป็นที่รู้จักเราใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่นาทีให้คนหันมาสนใจและฟังสิ่งที่เรากำลังทำ
ทุกวันนี้เวลาจะเดินมาเปิดร้านก็จะมีแต่คนมาขอถ่ายรูปด้วย จากที่แต่ก่อนไม่เคยมีอะไรแบบนี้ ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่ดีมากเลยครับ ถึงแม้ว่าเราต้องปรับตัวอีกมากเพราะสิ่งเหล่านี้มันเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนบางครั้งเราก็รู้สึกว่ากระทบกับความเป็นส่วนตัวอยู่บ้าง แต่เราก็เข้าใจคนที่เขาชื่นชอบและให้กำลังใจเราครับ อีกอย่างคือผมคิดว่าตัวเองค่อนข้างเฟรนลี่ด้วย ใครมาช่วยคุยด้วยผมก็คุย สมัยก่อนใครส่งข้อความมาทางอินบ็อกซ์ผมจะตอบหมดทุกคนเลยนะครับ แต่ช่วงหลังมานี้ตอบไม่ไหวแล้วเพราะส่งกันมาเยอะจริงๆ (หัวเราะ
แล้วในด้านการทำเพลงคุณได้เรียนรู้อะไรจากการประกวดนี้บ้างไหม
กับตัวผมเองการประกวดนี้ส่งผลมากเลยนะครับ จากที่ผมไม่เคยรู้เลยว่าคนเหล่านี้เขาทำงานกันอย่างไร มีกระบวนการและขั้นตอนอะไรบ้าง ซึ่งพอมาถึงจุดนี้แล้วผมก็เรียนรู้อะไรหลายอย่างและรู้ว่าบางอย่างมันไม่ได้ยากเหมือนที่คิดไว้ตอนแรก อาจเพราะเรามีประสบการณ์ขึ้นเวทีมาค่อนข้างมาก รวมไปถึงพี่ๆ ทีมงานที่เก่งกันมากๆ คือบางคำที่ผมพูดตรงนี้ ถ้าหากนำไปพูดบนเวทีความรู้สึกอาจจะแตกต่างไปเลยก็ได้ครับ ที่สำคัญผมได้รับโอกาสที่เข้ามามากมาย ไม่ว่างจากค่ายเพลง หรือวงดนตรีอื่นๆ ที่อยากจะให้เราไปร่วมงานด้วย ซึ่งอีกไม่นานนี้น่าจะมีผลงานฟีตเจอร์ริ่งกับศิลปินท่านอื่นประมาณสี่โปรเจคออกมาให้ฟังกันครับ
หลังจากที่เริ่มมีคนรู้จักมากขึ้น ตอนนี้เป้าหมายชีวิตของเราเปลี่ยนไปบ้างไหม
เป้าหมายทุกวันนี้ยังไม่เปลี่ยนครับ เพราะชีวิตของผมมีสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดอยู่สองอย่างคือ การเป็นแร็ปเปอร์ และ การเป็นช่างทำผม ซึ่งสิ่งที่ผมต้องการคืออยากให้สองสิ่งนี้มันสามารถเลี้ยงชีวิตผมได้ และอยากจะทำสองสิ่งนี้ควบคู่กันไปเรื่อยๆ อย่างร้านตัดผมเพลงก็มีแพลนจะขยายสาขาไปอีก รวมถึงผลงานเพลงที่คงจะทำต่อไปเรื่อยๆ ชีวิตผมนี่ทำเป็นอยู่สองอย่างจริงๆ ครับ ถ้าไปสืบประวัติมานี่ผมแทบไม่มีความรู้ด้านธุรกิจเลย เพียงแต่ผมโชคดีที่ได้คนรอบตัวที่ดีคอยช่วยเหลือตลอด ส่วนตัวผมเองมีหน้าคิดและลงมือทำเท่านั้น
นอกจากทรงผมแล้วคุณเองก็มีการแต่งกายที่โดดเด่นไม่แพ้กัน
ผมเคยผ่านเทรนด์แฟชั่นฮิปฮอปที่ใส่เสื้อผ้าตัวใหญ่ๆ ใส่หมวกเอียงๆ ซึ่งมันอาจจะดูตลกเมื่อเราย้อนกลับไปดูแต่ต้องยอมรับว่ามันเป็นเทรนด์ที่เท่มากในยุคนั้น แต่ปัจจุบันผมรู้สึกว่าตัวเองแต่งตัวง่ายขึ้น และสนุกกับการหยิบไอเดียจากการแต่งการของศิลปินต่างประเทศที่ชอบมาผสมผสานเข้ากับตัวเองมากกว่า ซึ่งผมคิดว่าผมเจอตัวเองแล้วว่าเราเหมาะหรือไม่เหมาะกับอะไร ตอนนี้ขอแค่เสื้อผ้าที่สวมใส่แล้วไม่รู้สึกเขินตอนอยู่หน้ากระจก ใส่แล้วมั่นใจก็พอแล้ว อย่างเช่นเราเป็นคนผิวเข้มเราก็จะเน้นเสื้อผ้าที่คุมโทนไม่ฉูดฉาดเกินไป ซึ่งคนอื่นอาจจะมองว่าเราแต่งตัวดูเยอะแต่เรารู้สึกว่ามันง่ายขึ้นมาก เพราะเราเลือกแต่ของที่ชอบจริงๆ ไม่ได้พยายามจะเอาทุกสิ่งโถมใส่ตัวเราจนมากเกินไป และที่สำคัญที่สุดคือเมื่อ่ก่อนผมพยายามแต่งตัวเพื่อให้ทุกคนยอมรับว่าเราเป็นแร็ปเปอร์ แต่ทุกวันนี้เมื่อทุกคนยอมรับตัวผมแล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปพยายามให้ทุกคนดูว่าเราเป็นตัวจริงอีกแล้ว เพียงแค่ใส่อะไรที่ชอบและเข้ากับเราก็พอ
สุดท้ายนี้คุณมีอะไรอยากจะบอกเด็กรุ่นใหม่ที่กำลังมีความฝันอยากเป็นแร็ปเปอร์เหมือนคุณ
สำหรับผมฮิปฮอปไม่ได้เป็นแค่แฟชั่นครับ แต่สำหรับผมฮิปฮอปเปรียบเหมือนเพลงเพื่อชีวิตที่พยายามนำเสนอเรื่องราวของชีวิตของเราผ่านบทเพลง ผมไม่รู้จะถ่ายทอดคำพูดพวกนี้ออกมาให้ดูเท่อย่างไรเหมือนกัน แต่ถ้าหากคุณเป็นคนที่ชอบฮิปฮอปจริงๆ คุณน่าจะเข้าใจในสิ่งที่ผมพูดดีอยู่แล้ว เพราะตัวผมเองก็เคยผ่านช่วงชีวิตที่ต้องดิ้นรนและพยายามมาเหมือนกัน ซึ่งสิ่งที่อยากจะบอกคือเรื่องของความตั้งใจและความต่อเนื่องเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่ผ่านมาชีวิตผมบางช่วงอาจจะไม่ได้ทำเกี่ยวกับฮิปฮอปร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ผมก็เลือกที่จะอยู่กับมันมาตลอด เพราะถ้าไม่มีฮิปฮอปผมคงเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้กลายเป็นที่รู้จักและร้านของผมคงไม่ได้สำเร็จแบบที่เห็นตอนนี้
และทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของ U-rius แร็ปเปอร์หนุ่มมากฝีมือจากรายการ The Rapper หากคุณชื่นชอบสไตล์การแร็ปอันดุดันของเขาอย่าลืมติดตามและให้กำลังใจเขาได้ในรายการ The Rapper ทุกวันจันทร์ ทางช่อง Workpoint TV และอย่าลืมเข้ามาอ่านเรื่องราวที่น่าสนใจของ #SneakTheStyle คนก่อนๆได้ >>ได้ที่นี่<<
ติดตามผลงานของ U-rius เพิ่มเติมได้ทาง
Youtube : U-rius Official
Instagrame : @u_rius