หากเอ่ยชื่อนักฟุตบอลที่ชื่อ “ตุ้ย กรวิทย์ นามวิเศษ” คนทั่วไปอาจไม่คุ้นหู แต่สำหรับแฟนบอลทีม บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แล้ว เขาคือนักเตะคนสำคัญในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ค เจ้าของส่วนสูง 182 ซม. ที่มีสไตล์การเล่นอันดุดัน และมีจุดเด่นที่การสกัดลูกกลางอากาศ จนพาทีมเซราะกราวคว้าแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีกด้วยสถิติไร้พ่ายได้อย่างน่าชื่นชม ทั้งยังมีดีกรีทีมชาติไทยชุดใหญ่ในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก และได้รับรางวัล Best Transfer of the Year 2015 จาก GOAL Thailand อีกด้วย ทั้งที่ก่อนหน้านี้เพียงปีเดียว เขาอยู่ในสภาพไร้ค่าตัว ไร้ชื่อเสียง และไร้อนาคต นอกจากนี้ เวลาอยู่นอกสนาม เขายังชอบแต่งตัวในสไตล์ street fashion และชอบฟังเพลง hip hop อีกด้วย เราจึงอดไม่ได้ที่จะเชิญหนุ่มอุดรฯ คนนี้มาสัมภาษณ์ถึงเส้นทางชีวิตการค้าแข้งและไลฟ์สไตล์ส่วนตัว รับรองว่าน่าสนใจไม่แพ้กัน
แรงบันดาลใจในการเริ่มเล่นฟุตบอล
เริ่มจากพ่อผมชอบฟุตบอลครับ เวลามีงานแข่งฟุตบอลโลกเขาก็รอดูตลอด ผมก็นั่งดูบอลกับพ่อแต่พอบอลมาก็หลับไปก่อนตามประสาเด็กเพราะมันดึกไป ได้ดูจนจบแม็ตช์เป็นครั้งแรกตอน ป.1 ที่มีถ่ายทอดสดบอลยูโร 1992 ส่วนบอลพรีเมียร์ลีกของอังกฤษก็เชียร์ทีมแมนยูฯ ครับ ถ้าในเมืองไทยเมื่อก่อนจะชอบทีมทหารอากาศครับ ซึ่งผมชอบพี่ตุ๊ก ปิยะพงษ์ มากเป็นพิเศษ ตอนเริ่มเตะบอลก็เลยหัดเล่นกองหน้า แต่ว่าตอนเด็กๆ ตัวเล็กมาก แรงปะทะสู้เขาไม่ได้ ลองเปลี่ยนมาเล่นวิงแบ็คดู แต่ก็ไปไม่รอด เลยดื่มนมเยอะๆ จนตัวสูงขึ้นมาก สุดท้ายเลยลองเปลี่ยนมาเล่นเซ็นเตอร์แบ็คมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันครับ
“ต้องขยันขึ้น 2-3 เท่า ทำยังไงก็ได้อย่าให้เสียประตู รวมถึงศึกษานักเตะชาติอื่นๆ… ต้องซ้อมให้มากกว่าเขาเพื่อให้ได้ระดับใกล้เคียงกับเขา เพื่อจะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นอีก”
เส้นทางการเล่นฟุตบอลอาชีพ
ผมย้ายจากอุดรฯ มาเรียน ม.3 ที่ ร.ร. ปทุมวิไล จ.ปทุมธานี พอเรียนจบ มีโอกาสได้ไปคัดตัวที่สโมสรแรกคือ ปตท. ก็ได้เล่นที่นั่น 2 ปี แล้วอยากลองหาประสบการณ์ใหม่ๆ เลยสนใจไปคัดตัวกับ บีอีซี เทโรฯ แต่ก็ไม่ติด พอดีมีโค้ชที่ สมุทรสงคราม เอฟซี เห็นแวว เลยไปเล่นให้อยู่ 6 เดือน แล้ว แบงค็อก ยูไนเต็ด ก็ติดต่อมา จากนั้นก็เล่นให้ที่นั่นยาว 5 ปีเลยครับ
จนเมื่อปี 2014 เหมือนมีพายุเข้ามาในชีวิต ด้วยความที่โค้ชแต่ละคนมีสไตล์การทำทีมที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งกลายเป็นว่าผมไม่ได้อยู่ในแผนทำทีมของโค้ชคนใหม่ แล้วมันยิ่งทำให้ความฝันที่จะติดทีมชาติเริ่มเลือนรางลง ไม่รู้อนาคตเลย จนถูกปล่อยตัวจากทีม ผมเลยเลิกคิดเรื่องติดทีมชาติไป แต่อยู่ดีๆ ก็เหมือนถูกลอตเตอรี่เลย มีสายจากผู้จัดการทีม บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด โทรมาหาผม บอกว่าต้องการตัว ทีแรกผมก็ไม่เชื่อนะ นึกว่าเขาอำผมเล่น แต่เขาก็บอกว่าไม่ได้อำ แล้วก็เรียกผมไปตรวจร่างกาย เสร็จแล้วเขาก็พาไปเซ็นสัญญาที่สโมสรเลย
พอเปิดฤดูกาล 2015 ก็มีคำถามจากแฟนบอลบุรีรัมย์ที่ได้ยินข่าวการเซ็นสัญญาว่า “ผู้ชายคนนี้คือใคร” “ทำไมถึงซื้อมา” “ทำไมถึงกล้าปล่อยกองหลังตัวหลัก 2 คนออกไป” ผมก็ต้องเริ่มปรับตัวให้เข้ากับทีม ซึ่งทีมบุรีรัมย์เต็มไปด้วยซูเปอร์สตาร์ ความกดดันก็มีเยอะ ในใจก็เครียดมากว่าคนอื่นๆ เขาจะเปิดใจรับผมและให้ความร่วมมือกับผมมากแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ดีเกินคาดครับ ทุกคนให้การต้อนรับดีมาก ไม่ถือตัวเลย คำถามแรกมาจากอุ้ม ธีราทร คือ “มี ig ไหม”(ยิ้ม) ความกดดันก็เลยลดน้อยลง แต่ผมก็ยังต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้อยู่ดีครับ มีทางเดียวคือต้องโฟกัสกับเกมให้ดีที่สุด
หลังจากนั้นผมได้มีโอกาส ได้ไปเล่น AFC Champions League ซึ่งเป็นรายการชิงแชมป์สโมสรที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ตอนนั้นคิดว่าถ้าสร้างผลงานได้ดี โอกาสติดทีมชาติก็มีมากขึ้น เลยต้องขยันขึ้น 2-3 เท่า ทำยังไงก็ได้อย่าให้เสียประตู รวมถึงศึกษานักเตะชาติอื่นๆ อย่างเกาหลี ญี่ปุ่น และผมศึกษาจากนักเตะที่ชอบด้วยครับ อย่างถ้าเป็นตำแหน่งเดียวกับผมในทีมแมนยูฯ ก็คือ วิดิช เขาเป็นกองหลังที่ครบเครื่อง แล้วก็เอามาลองปรับใช้กับตัวเองในสนามซ้อมครับ ถ้ามันใช้ได้ดีในสนามซ้อม เวลาแข่งจริงก็มั่นใจมากขึ้น ต้องซ้อมให้มากกว่าเขาเพื่อให้ได้ระดับใกล้เคียงกับเขา เพื่อจะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นอีก จนในที่สุดก็ได้ติดทีมชาติชุดใหญ่ครับ
ตอนนี้พอใจกับฟอร์มการเล่นของตัวเองมากแค่ไหน
ก็พอใจครับ เพราะว่าผมได้พิสูจน์ให้คนเขาได้รู้แล้วว่าผมคือใคร และได้ตอบแทนความไว้วางใจของผู้จัดการทีมและประธานสโมสรแล้ว ทั้งสองคนมีบุญคุณกับผมมากครับ ทั้งทำให้ผมมีชีวิตที่สดใสขึ้น และทำให้ผมมีมูลค่าจากที่เมื่อก่อนมันเท่ากับศูนย์
คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จมาถึงจุดนี้ได้เพราะอะไร
เมื่อก่อนผมเป็นเด็กติดแม่มาก แม่ไปไหนผมไปด้วยตลอด ตอนที่มาเรียนที่ปทุมธานี แรกๆ คิดถึงแม่มาก ผมขอโค้ชย้ายกลับบ้าน เขาก็ถามว่าที่บ้านรู้ไหม ผมบอกว่ารู้ เขาเลยขอเบอร์โทรไปคุยกับพ่อผม ไม่รู้ว่าเขาคุยอะไรกัน แล้วโค้ชยื่นโทรศัพท์ให้ผม พ่อก็พูดกับผมว่าให้อดทนต่อ ลองเรียนที่นั่นดูก่อน ไหนๆ ก็เลือกมาเส้นทางนี้แล้ว แล้วมีประโยคหนึ่งจากครูสอนภาษาไทยตอน ม.2 สมัยเรียนที่อุดรฯ ที่แวบเข้ามาในหัวว่า “จะคอยดูว่าจะไปได้สักกี่น้ำ” เพราะเขาคิดว่ากรุงเทพฯ แสงสีเสียงมันเยอะ กลัวผมจะเสียคน พอนึกขึ้นได้ก็เลยฮึดสู้และเลือกเดินเส้นทางนี้ต่อครับ
ผมบอกกับตัวเองเสมอว่าผมต้องประสบความสำเร็จในเส้นทางฟุตบอล ลบคำสบประมาทให้ได้ และต้องทำให้โค้ชที่โรงเรียนเก่าผมเขายิ้มออกให้ได้ โค้ชเขายังเอาเรื่องของผมไปเล่าเป็นแรงบันดาลใจเด็กๆ ในโรงเรียนด้วยว่า “คนเราไม่จำเป็นต้องเก่งมากก็ได้ ขอแค่มีความพยายาม”
แต่ผมเป็นความ หวังของพ่อแม่ที่อยากเห็นลูกตัวเองเรียนจบปริญญาตรี ผมเคยโกหกแม่ว่าจะไปเรียน ทั้งที่ความจริงคืออยู่หอ รอไปซ้อมฟุตบอลตอนเย็น จนวันหนึ่ง ตอนยังเรียนอยู่ปี 2 ที่คณะนิเทศศาสตร์ ม.กรุงเทพฯ ด้วยความที่ผมไม่อยากปิดบังแล้ว ก็เลยคุยกับที่บ้าน พ่อแม่ก็ให้เลือกว่าจะเรียน หรือจะเล่นฟุตบอล ผมเลยขอเล่นฟุตบอลก่อน แล้วก็ดร็อปเรียนไว้จนถึงทุกวันนี้ ทำให้เขายังไม่โอเคกับเรื่องนี้จนถึงปัจจุบัน เพราะเขารู้สึกเหมือนว่าส่งลูกไปเรียนแต่ก็ไม่จบ ผมเลยคิดว่ายังไงก็ต้องหาเวลาที่จะลงเรียนต่อ อยากจบให้เขาได้ภูมิใจครับ
ทุกวันนี้มีแฟนคลับมากแค่ไหน
ผม ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน(ยิ้ม) มีคนมาทักตอนนั่งกินข้าวในตลาดบ้างครับ เขาก็ไม่ค่อยกล้าคุยกับผม เพราะผมเป็นคนไม่ค่อยยิ้ม ไม่ค่อยคุยกับใคร บางคนอาจจะคิดว่าผมหยิ่งหรือเปล่า แต่จริงๆ ไม่ใช่หรอก ผมเป็นคนหน้านิ่งๆ แล้วก็ผมขี้อายครับ ยิ่งถ้าเจอกล้องด้วยยิ่งทำตัวไม่ถูก มีเด็กผู้ชายคนนึงมาแชทคุยกับผมในเฟซบุ๊คว่า “ผมชอบสไตล์การเล่น การแต่งตัวของพี่นะ ผมตัดสกินเฮดตามพี่ด้วย” แต่ผมก็ยังสงสัยนะว่าเป็นไปได้ไง เพราะผมก็ไม่ใช่คนเด่นดังอะไรเหมือนอย่างนฤบดินทร์เขา บางคนก็มาขอเสื้อทีมบ้าง ถ้ามีโอกาสได้เจอหน้ากันในสนามก็อาจจะให้ไปครับ
สไตล์การแต่งตัว มันมาจาก lifestyle หรือเปล่าได้แรงบันดาลใจมาจากไหน
ผม ก็ชอบใส่หมวก เสื้อยืด อาจจะใส่กางเกงขายาวบ้าง สไตล์ hip hop หน่อย ซึ่งทีแรกก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ครับ เมื่อก่อนฟังเพลงทุกแนว แต่เนื่องจากประมาณ 5-6 ปีก่อน ผมรู้สึกเบื่อเพลงรักอกหัก อยากมองหาอะไรใหม่ๆ แล้วมีเพื่อนแนะนำมาให้ฟังเพลง Jay Z เลยลองเข้าไปฟังเพลงเขาดูใน YouTube ได้ฟังเพลง ได้เห็นสไตล์การแต่งตัวเขา แล้วก็ตามไปฟังของศิลปินคนอื่นๆ อย่าง Chris Brown, Wiz Khalifa, T.I, และ Thaitanium ก็เลยชอบ hip hop จนแต่งตัวตาม อย่างรองเท้าที่ใส่ประจำก็จะเป็น Nike Air Force 1 กับ Air Jordan VI ครับ ผมสะสมหมวกกับรองเท้าไว้บ้าง มีทั้งที่ซื้อเองแล้วก็มีแฟนบอลซื้อมาฝาก ตอนนี้กำลังทำตู้เก็บไว้ที่บ้านครับ
แล้วพอฟัง Chris Brown มากๆ ก็อยากเต้นได้เก่งๆ แบบเขาด้วย แต่ผมเต้นไม่เป็น ช่วงปีที่แล้วหลังจากที่ถูกปล่อยตัวจากทีมแบงค็อก ยูไนเต็ดมาก็เลยถึงขั้นจะไปเรียนเต้นที่ตึกแกรมมี่ แต่ว่าพอดีทางทีมบุรีรัมย์ติดต่อมาเสียก่อน ก็เลยล้มเลิกเรื่องเต้นไปครับ
“คนเราไม่จำเป็นต้องเก่งมากก็ได้ ขอแค่มีความพยายาม”
งานอดิเรก
เวลา ว่างชอบอยู่บ้านคนเดียวครับ ฟังเพลง เล่นเกมไปเรื่อย เป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง อยากไปดูคอนเสิร์ตบ้างเหมือนกันแต่ก็ยังไม่ค่อยมีเวลาไปเลยครับ
เป้าหมายต่อไป
ทาง สโมสรเขาจะวางเป้าเอาไว้คือต้องคว้าแชมป์ทุกรายการในประเทศไทยให้ได้ ณ ตอนนี้เหลือแค่แชมป์ เอฟเอ คัพ ซึ่งที่จริงความกดดันมันก็มากอยู่แล้ว แต่พอดีเจอกับเมืองทอง ยูไนเต็ด มันก็เลยกดดันและต้องทำงานหนักมากขึ้นเป็นสองเท่า เพราะคอนเซ็ปต์เราคือ “แพ้ใครก็ได้ อย่าแพ้เมืองทอง” (วันที่สัมภาษณ์คือ 22 ธ.ค. 2558 ก่อนวันแข่งชิงชนะเลิศกับเมืองทอง ยูไนเต็ด 4 วัน) ถ้าสามารถคว้าแชมป์เอฟเอได้ ก็เท่ากับว่าประสบความสำเร็จสูงสุดในเมืองไทยแล้ว ก้าวต่อไปคืออยากจะทำผลงานกับทีมชาติให้ดีที่สุดเพื่อจะได้ยืนอยู่ตรงนี้ให้ นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ
——————–
หลังจากจบการสัมภาษณ์ เราก็เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้รับความไว้วางใจจากโค้ช ทั้งยังสามารถฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ นานาจนประสบความสำเร็จได้ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นผลลัพธ์จากความพยายามอย่างแท้จริง หวังว่าเจ้าตัวจะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาฝีเท้าตัวเองต่อไปและทำให้พ่อแม่ภาคภูมิ ใจได้อย่างที่ตั้งใจไว้ มาร่วมส่งใจเชียร์เขากัน
ติดตามความเคลื่อนไหวของตุ้ย กรวิทย์ ได้ที่
ig: @koravit_16
Photo by Ballisticone
Interview by Pakazite