“JUU 4E” หรือที่แฟนเพลงฮิปฮอปเรียกกันอย่างติดปากว่า “อาจารย์จู” หนึ่งในแร็ปเปอร์รุ่นเก๋าของเมืองไทย ที่สร้างสรรค์ผลงานสู่ผู้ฟังมาอย่างยาวนานกว่าสิบปี ด้วยสไตล์การแร็ปที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากแร็ปเปอร์ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการใช้เนื้อร้องที่แฝงความขบขันที่ฟังดูสนุกสนาน บวกกับดนตรีที่มีส่วนผสมของความเป็นเรกเก้ไว้อย่างลงตัว พร้อมทั้งภาพลักษณ์ที่มาพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม และพร้อมสร้างเสียงหัวเราะให้แก่ทุกคนที่รู้จัก
แต่ใครบ้างจะรู้ว่ากว่าจะมาถึงทุกวันนี้ชายผู้นี้ต้องพบเจออะไรมาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการทดลองทำเพลงมาหลากหลายสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นดนตรีร็อค พั้งค์ เรกเก้ จนมาถึงฮิปฮอปที่พวกเราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งไม่บ่อยนักที่ชายผู้นี้จะมาพูดถึงเรื่องราวของชีวิตตนเองให้คนอื่นฟัง ซึ่งนี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่จะทำให้คุณได้รู้กับ “JUU 4E” มากกว่าที่เคย
คุณเริ่มมีความสนใจเกี่ยวกับดนตรีตั้งแต่เมื่อไร
น่าจะเริ่มจากช่วงตอนผมเรียนชั้นประถมที่เริ่มมีเพลงฮิปฮอปเข้ามาในบ้านเรา ซึ่งผมก็ชอบฟังเพราะด้วยกระแสความนิยมและสังคมของคนรอบข้างในตอนนั้น แต่คุณพ่อของผมเขาเป็นนักดนตรีแนวร็อคที่ชอบเปิดเพลงเฮฟวี่เมทัลฟังเวลาอยู่ที่บ้านอยู่เป็นประจำ ทำให้ผมได้เสพเพลงทั้งสองแนวนี้ควบคู่กันมาตลอด จนกระทั่งอายุได้สักประมาณ 16 ปี ผมก็เริ่มทำวงดนตรีกับเพื่อนๆ เพื่อเล่นดนตรีแนวนูเมทัล หลังจากนั้นผมก็ทดลองทำอะไรอีกหลายอย่างไม่ว่าจะวงดนตรีพั้งค์ รวมไปถึงการเล่นสเก็ตบอร์ดและเต้นบีบอยด้วย แต่สุดท้ายเมื่อย้อนกลับมาผมเริ่มรู้ตัวเองว่าเรามีส่วนผสมของดนตรีหลายแนวมากทำให้วงดนตรีที่ทำอยู่อาจจะไม่เหมาะกับผม ผมจึงปรึกษากับเพื่อนในวงและขอลาออกมาเพื่อหาแนวทางที่เหมาะกับตัวเอง
แล้วคุณได้มีโอกาสมาทำเพลงฮิปฮอปเต็มตัวได้อย่างไร
หลังจากออกจากวงดนตรีผมก็เริ่มมาศึกษาโปรแกรมเกี่ยวกับการทำบีทฮิปฮอปอย่างจริงจัง และชวนเพื่อนสองคนคือดี้และถั่วที่เป็นแร็ปเปอร์อยู่แล้วมาทำเพลงด้วยกัน เลยเกิดเป็น Rastafah ขึ้นมา แล้วพวกเราก็อัดเพลงลงซีดีไปขายในงาน Fat หลังจากนั้นก็ได้มีโอกาสมาเจอกับโอเล่ ซึ่งเป็นเพื่อนที่เต้นบีบอยด้วยกันเขามาชวนไปทำโปรเจ็คร่วมกับค่ายเบเกอรี่มิวสิค ซึ่งผมเห็นว่าน่าสนใจเลยไปร่วมด้วยและชวนให้โอเล่มาเป็นหนึ่งในสมาชิกวงด้วย จนทำให้ Rastafah กลายมาเป็น 4 คน
หลังจากที่ได้เข้ามาอยู่กับค่ายเพลงแล้วชีวิตคุณเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน
หลังจากที่ผมมาอยู่กับค่ายเพลงเบเกอรี่มิวสิคได้สักพักหนึ่งแล้ว ผมเกิดมีความคิดแบบเด็กๆ ขึ้นมาคืออยากมองหาอะไรสนุกๆ ทำมากกว่า เราเลยคิดว่าการอยู่ค่ายเพลงใหญ่มันไม่ตอบโจทย์กับความต้องการเพราะเราตัดสินใจว่าจะเอาสิ่งที่สนุกกับตัวเรามากที่สุด ซึ่งตอนนั้นก็มีพี่ โจ้ โจอี้บอย และ พี่ขัน ไทเทเนี่ยม เข้ามาติดต่อชวนเราไปร่วมงานทั้งคู่ ซึ่งทั้งสองคนนี้ก็เป็นไอดอลของเราอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่ข้อเสนอของทางพี่ขันค่อนข้างตรงกับเรามากกว่ารวมถึงระบบค่ายเพลงและทัศนคติของเขาที่ตรงกัน ผมเลยได้มาออกทัวร์ร่วมกับเขาประมาณหนึ่งปี ก่อนที่เราจะแยกย้ายกันไป แต่ระหว่างที่ทำเพลงกับพี่ขันผมก็มีเพลงอย่าง หอม และ ล่องลอย ปล่อยออกมา
ทั้งสองเพลงที่ปล่อยออกมานั้นมีกระแสตอบรับรับที่ดีไหม
ผลตอบรับในช่วงแรกของสองเพลงนี้ถือว่าไม่ดีเท่าไร อาจเพราะกระแสของดนตรีในตอนนั้นด้วย ซึ่งกว่าเพลงนี้จะเริ่มมีคนสนใจก็ใช้เวลาเกือบเจ็ดปี เพราะเริ่มมีคนย้อนกลับไปฟังเพลงที่เราทำ บวกกับกระแสดนตรีโลกที่มีวงอย่าง Sticky Fingers เข้ามา ซึ่งในระยะเวลาเจ็ดปีนั้นพวกเราก็แยกย้ายกันไปทำอะไรของตัวเองกันแล้ว อย่างผมก็แยกออกมาทำวง 4E แล้ว แต่ด้วยความที่เพลงมันกลับมาดังทำให้มีงานจ้างเข้ามาพวกเราเลยมีโอกาสกลับไปเล่นด้วยกันอีกครั้งตามงานโชว์ต่างๆ
สำหรับคุณแล้วคำว่า ‘ราสต้า’ คืออะไร ?
ผมมองว่าราสต้าคือแนวคิดแบบหนึ่งที่ผมคิดว่ามีความใกล้เคียงกับศาสนาพุทธมากๆ เพียงแต่อาจจะมีเรื่องราวของดนตรีและกัญชาเสริมเข้ามา แต่ในเรื่องของความผ่อนคลายทางจิตใจถือว่าใกล้เคียงกัน ผมเลยรู้สึกว่าอ่านเรื่องพวกนี้แล้วมันดีต่อชีวิต ก่อนที่จะเป็น Rasta ผมก็เป็นเด็กกุ๊ยทั่วไปขับมอเตอร์ไซค์กับกลุ่มเพื่อนๆ แต่พอโตมาทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
ผมไม่อยากบอกว่าตัวเองเป็นราสต้าเพราะดูเหมือนเป็นการบีบคั้นตัวเองมากจนเกิดไป แต่ผมศรัทธาที่จะใช้ชีวิตแบบนี้ ผมคิดว่านิยามคำว่าราสต้ามันคือการทำอะไรก็ได้ที่เรียบง่าย เพราะผมมองว่าชีวิตมันไม่ได้ยาก เราสามารถทำให้มันง่ายได้แต่มันไม่ใช่ความง่ายแบบสงเดช แต่มันเกิดจากกระบวนการคิดที่ละเอียดอ่อนจนลดทอนทุกอย่าง จนกลายเป็นความเรียบง่าย คือผมชอบความละเอียดที่ดูมากมายแต่สุดท้ายมันกลับมาง่ายจนแทบไม่เหลืออะไรเลย สำหรับผมราสต้าจึงเป็นกระบวนการคิดที่มีศิลปะและมีการคิดถึงหัวจิตหัวใจคนอื่น
คุณนำวิถีราสต้ามาผสมผสานกับแนวดนตรีของคุณอย่างไร
ผมมองว่าวิถีแนวนี้เราว่ามันเหมาะกับสิ่งที่เราทำอยู่ด้วย เพราะฮิปฮอปมันสามารถผสมกับอะไรและยังแตกต่างกับดนตรีแนวอื่นตรงที่มีเรื่องของศิลปะในการใช้ภาษาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย สำหรับผมสิ่งที่หลงใหลมากที่สุดสำหรับฮิปฮอปคือการร้องที่มีสัมผัสเหมือนกลอนและมีความหมายที่สวยงาม ผมชอบการใช้คำพูดที่ดูคมรวมถึงการใช้จังหวะในการแบ่งวรรคคำให้ออกมาเป็นเพลงแบบนี้
ถ้าพูดถึงราสต้าแล้วสิ่งหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือกัญชา คุณมีความรู้สึกอย่างไรบ้างที่กัญชาถูกนำกลับมาพูดถึงอีกครั้งในแง่ของประโยชน์ทางการแพทย์มากกว่าเรื่องของสิ่งเสพติด
พ่อผมเคยบอกว่าเมื่อสักประมาณ 50 ปี ก่อนกัญชาเคยถูกขายปกติในร้านขายยา จนปัจจุบันเราก็ผ่านทุกอย่างมาหมดแล้ว จนทุกวันเขาพูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่ามันไม่ใช่สิ่งไร้ประโยชน์ที่ถูกปิดบังไว้ดีกว่า ตอนนี้เราเลยมองว่าโคตรดีมากเลย อย่างตอนที่พ่อผมป่วยผมก็ไม่อยากให้หมอใช้ยานอนหลับกับคุณพ่อเพราะมันมีผลกระทบต่อสมอง CBD ของกัญชาสามารถช่วยในเรื่องนี้ได้ ซึ่งคุณหมอเขาก็ไม่อณุญาตให้ใช้ซึ่งผมก็รู้สึกขัดใจนะแต่ก็ไม่พยายามเถียงหมอเขา
การที่คุณเปิดเผยตัวเองว่ามีไลฟ์สไตล์แบบนี้ส่งผลต่อภาพลักษณ์ที่คนอื่นมองคุณอย่างไรบ้าง
ผมมองว่าเรามาถึงยุคที่ควรจะหยุดมองเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกได้แล้ว เพราะคนที่แต่งตัวภายนอกดูดีแต่ทำเรื่องไม่เข้าท่าก็มีเยอะ คือเราไม่สามารถไปตัดสินเรื่องเหล่านั้นได้ สิ่งที่จะเอาไปตัดสินได้มันคือเรื่องของการกระทำเท่านั้นเอง เราสนใจสิ่งที่เขาทำดีกว่าว่าเขาทำอะไรให้สังคมนี้บ้าง เรามองเลยดีกว่าว่าการกระทำคืออะไร ความคิดมันควบคุมทุกอย่าง จิตใต้สำนึกมันสามารถควบคุมทุกอย่าง ดูกันที่จิตใจดีกว่าอย่ามองแต่ภายนอกเลยครับ
ในฐานะที่อยู่ในวงการฮิปฮอปมานานคุณเห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรที่เกิดขึ้นมาบ้าง
ผมอยู่ในวงการนี้มาประมาณ 16 ปี เราเห็นอะไรที่เปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย แต่ช่วงนี้น่าจะเป็นเป็นช่วงที่บูมที่สุดตั้งแต่ที่เราเคยเห็นมาแล้ว ผมคิดว่าเด็กยุคนี้มีศักยภาพเหนือกว่าคนรุ่นผมมาก ทั้งความคิดความอ่าน อาจเพราะด้วยความพร้อมของเทคโนโลยีที่มันส่งผลให้มีผลงานเพลงดีๆ มีมากขึ้น เพราะการแข่งขันของตลาดที่ค่อนข้างสูง ทำให้เรารู้สึกว่ารากฐานของฮิปฮอปมันแข็งแรงขึ้น เชื่อว่าถ้ารอบนี้ต่อให้กระแสฮิปฮอปซาลงก็ยังมีคนทำเพลงแร็ปอยู่แน่นอน ซึ่งผมรู้สึกดีนะที่คนหันมาสนใจทำเพลงแนวนี้มากขึ้น และเราก็เอาใจช่วยและชอบทุกคนอยู่แล้วครับ
ส่วนตัวคุณแล้วรู้สึกอย่างไรกับสังคมฮิปฮอปบ้านเราในตอนนี้
ผมมองว่าสังคมของเราทุกวันนี้ไม่ค่อยนับถือกันเท่าไร เพราะทุกคนต่างคิดว่าตัวเองเจ๋ง และใช้การข่มกันไปมาเพื่อให้ดูเหนือกว่าคนอื่น ซึ่งผมกลับมองว่าถนนเส้นนี้มันไม่ได้มีเลนเดียวเหมือนทุกคนเกิดมาพร้อมกับมีเส้นทางของตัวเองเราสามารถเข้าไปดูเส้นทางของคนอื่นได้ แต่เราไม่ควรจะไปตัดสินว่าเส้นทางของคนอื่นนั้นดีหรือไม่ดีไปกว่าเรา เราอาจจะไม่ชอบถนนของเขาเลยแต่เราไม่จำเป็นต้องไปต่อว่าให้เขาเสียกำลังใจ ถ้าเกิดเราจะไปติเขาเราควรติดอย่างมีสาระหรือติเพื่อก่อมากกว่าไปด่าแบบไร้เหตุผล ซึ่งผมชอบการติเพื่อก่อเพราะเขาอาจจะต้องการช่วยให้เราดีขึ้น
การบูลลี่บนโลกอินเตอร์เน็ตก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ถูกพูดถึงมากในช่วงนี้
อย่างทุกวันนี้อย่างยังโอมก็เป็นศิลปินที่โด่งดังและโดนบูลลี่มากบนโลกโซเชี่ยล ซึ่งทุกวันนี้ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงต้องโดนกระทำแบบนั้น แต่เราต้องมองให้หลายมุมมองอย่างความคิดเห็นที่จริงจังที่ผ่านการคัดกรองมาแล้วกับความเห็นประเภทที่ด่าพ่อล่อแม่เอาสะใจออกจากกันก่อน เราต้องเอาความคิดเห็นแบบหลังนั้นทิ้งไปก่อนเลย แล้วเรามาโฟกัสแต่การติชมว่ามันมีอะไรบ้างในบริบทตรงนั้น ซึ่งผมไม่สามารถไปแนะนำอะไรได้เพราะพวกรุ่นน้องเหล่านั้นได้เพราะทุกคนเขาโตแล้วและมีเส้นทางทางที่เลือกของตัวเอง
ถ้าเกิดมีคนมาคอมเมนต์ต่อว่าในเพลงของคุณ คุณจะมีวิธีแก้ปัญหานี้อย่างไร
ผมมีวิธีการอีกอย่างหนึ่งคือการเอาตัวเราออกจากตัวเราแล้วไปนั่งมองตัวเองในมุมมองคนอื่น คล้ายๆ นั่งดูตัวเองในกระจก เหมือนการคิดทบทวนตัวเองว่าคนอื่นคิดกับเราอย่างไรบ้าง บางทีผมก็มีเรื่องผิดพลาดต้องมาขอโทษขอโพยคนอื่นก็มีเหมือนกัน ซึ่งมันก็เกิดจากการทบทวนเรื่องที่ผ่านมา ถึงแม้เราจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่เราสามารถทำปัจจุบันและอนาคตที่ดีขึ้นได้ ถึงแม้ว่าอนาคตจะเป็นสิ่งไม่แน่นอน
จุดหมายสูงสุดในการทำเพลงของคุณคืออะไร
ผมแค่อยากเห็นอะไรดีๆ เกิดขึ้นในสังคมแค่นี้ผมก็ชื่นใจแล้ว เพราะผมรู้สึกว่าสังคมก็เหมือนบ้านหลังหนึ่ง ถ้าอยู่ในบ้านที่ดีทุกคนก็จะมีความสุข ถ้าเราช่วยกันอย่างละเล็กอย่างละน้อย ด้วยการทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดมันก็จะสามารถเกิดขึ้นได้ อย่างผมเป็นศิลปินผมก็จะพยายามสร้างงานที่ออกไปกระตุ้นสังคมมากที่สุด ถึงแม้บางคนจะบอกให้ผมลองทำเพลงให้คนอื่นมันเข้าถึงบ้างซึ่งผมก็ทำได้ แต่ผมรู้สึกว่ามันไม่ตอบสนองความรู้สึกของเรามากกว่า อย่างที่ญี่ปุ่นศิลปินเขาเป็นตัวของตัวเองมาก และคนดูก็เคารพศิลปินไม่มีการเดินออกกลางเพลงแบบบ้านเราเลยนะ ซึ่งตัวผมเองก็ผ่านจุดนั้นเหมือนกัน ตรงนี้มันเป็นเรื่องเล็กน้อยที่คนไทยไม่สนใจ แต่เราก็อยากให้มันดีกว่าเดิม
อยากพูดอะไรกับแฟนเพลงคุณไหม
คงต้องกราบขอบคุณแฟนๆ ทุกคน เพราะพูดกันตามตรงตัวผมก็ไม่ได้โด่งดังมาก แค่คนมาสนุกกับผลงานที่เราทำแค่นี้ก็ภูมิใจแล้ว ไม่เคยลืมทุกคนที่เคยชวนไปเล่น เร็วๆ นี้จะมีผลงานที่ทำเก็บไว้และงานที่ทำกับน้องๆ และช่วงกลางปีนี้จะมีผลงานออกกับค่ายเพลงของทางญี่ปุ่น ซึ่งน่าจะเปิดขายที่ญี่ปุ่นและมีขายที่เมืองไทยด้วย ก็ขอให้ทุกคนช่วยกันติดตามและเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ
SHOP THE LOOK
SneakaVilla Thai Stick T-Shirt (Black)