หากพูดถึงวัฒนธรรมฮิพฮอพสำหรับประเทศไทยนั้นอาจไม่ใช่เรื่องใหม่เท่าไรนัก เพราะเพลงฮิพฮอพนั่นได้เริ่มเข้ามาในบ้านเราเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 10 ปีแล้ว ระหว่างนั้นได้มีกลุ่มศิลปินฮิพฮอพของไทยก่อตัวขึ้นมากมาย บ้างประสบความสำเร็จบ้างก็ล้มเหลวจนเลิกทำเพลงไป บ้างก็ผันตัวไปทำงานเบื้องหลัง หรือบางคนไปถึงจุดสูงสุดของศิลปินนั่นคือการเป็นเจ้าของค่ายเพลงอย่างเช่น Joey Boy หรือ Thaitanium แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่มีวันจางหายนั่นคือวัฒนธรรมฮิพฮอพที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็มีศิลปินหน้าใหม่ผลัดเปลี่ยนขึ้นมาเพื่อสร้างยุคสมัยของตนเอง
วันนี้เราจะมาแนะนำ ZiggaRice กลุ่มศิลปินฮิพฮอพที่เกิดจากรวมตัวของสองหนุ่มที่หลงใหลในการแร็ปตั้งแต่เด็ก และลงมือทำในสิ่งที่ตนรักอย่างมุ่งมั่นไม่ท้อถอย จนล่าสุดได้ปล่อย MV เพลง Pussi (พูดสิ) จนมีกระแสตอบรับที่ดีเกินคาด วันนี้เราจะมาพูดคุยถึงแนวคิดและมุมมองที่ทั้งคู่มีต่อวงการฮิพฮอพของไทยกัน
แนะนำตัวเอง
Tawy : ผมชื่อ ทวิชาติ กันซัน ชื่อเล่น หมี aka Tawy, Stickyrice Killer ปัจจุบันผมทำงานกับบริษัทของครอบครัว และทำเพลงเป็นงานอดิเรก แต่อาจจะใช้เวลากับเพลงมากหน่อย
Ziggavoy : ส่วนผม อภิสิทธิ์ สำราญอมรินทร์ aka Ziggavoy ชื่อเล่น วอย ตอนนี้เป็น music director ที่ร้านอาหาร และทำเพลงตอนว่างเช่นกัน
เพราะอะไรถึงมาร้องเพลงแร็ป
Tawy : ต้องเล่าย้อนไปสมัยมัธยมปลาย ตอนนั้นฟังฮิพฮอพอยู่แล้วแต่ยังไม่ได้เขียนเพลง จนมาเจอกับเพื่อนในโรงเรียนที่เขาทำเพลงอยู่ จึงเริ่มชวนกันไปทำเพลงที่บ้านเพื่อน แต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า จนเพื่อนเลิกทำวงกันไป พอเริ่มฟอร์มวงใหม่เขาก็ชวนเราไปอยู่ด้วยเลยกลายเป็นวง ‘Regions Buddah’ จนได้ออกอัลบั้มแรกออกมาณประมาณปี 2006 เราเอาอัลบั้มไปขายที่งาน FatFest ก็ได้เงินกลับมาบ้างแต่ไม่มากนัก จนเปลี่ยนชื่อวงเป็น ‘Crack Star’ แล้วปล่อยอัลบั้มออกมา ผลตอบรับก็โอเคแต่ไม่ได้เฟื่องฟูอะไรมาก จนอยู่มาวันหนึ่งมีคนโทรเข้ามาถามว่า สนใจมาทำเพลงกับแกรมมี่ไหม เลยคิดว่าเป็นโอกาสที่ดีจึงตอบตกลง เลยเริ่มไปทำเพลงกับพี่ เจ เจตริน อัลบั้ม ‘Hip Army’ ตอนนั้นใช้ชื่อว่า ‘Crack Boy’ หลังจากนั้นก็ได้ออกซิงเกิ้ลแรกชื่อ ‘Music บำบัด’ ต่อด้วยเพลง ‘คิดอีกที’ หลังจากหมดสัญญาแล้วก็ไม่ได้ทำต่อ
ต่อมาผมได้รู้จักกับ EAZY I AM ตอนนั้นเขากลับมาจากนิวยอร์ค เขาเริ่มสอนผมทำบีท หลังจากนั้นผมก็ทำบีทเก็บมาเรื่อยๆ พร้อมกับทำเพลงแบบอิสระ ไม่สังกัดค่ายไหน จนกระทั่งรุ่นพี่ที่ผมรู้จักตั้งแต่เด็กๆ คือ DeeJayB ชวนไปทำให้เพลงกับ Mindset จนได้มาอยุ่กับ Thitanium Entertainment เป็น Co-producer ให้ Mindset ทำไปได้สักพักก็เริ่มมีไอเดียอยากทำอัลบั้มของตัวเอง ตอนนั้นไปร้าน SneakaVilla จนได้รู้จักกับ วอย และกลายมาเป็น ZiggaRice ในที่สุด
Ziggvoy : ตอนแรกฟังเพลงแนวฮาร์ดคอร์เหมือนเด็กทั่วไปอย่าง Slipknot ต่อมาเพื่อนเอา Wu-Tang มาให้ฟังแล้วรู้สึกชอบ ผมเริ่มฟังมาเรื่อยๆจนเจอ Dajim ตอนนั้นก็เริ่มคิดว่าภาษาไทยก็เขียนเพลงแร็ปได้ เลยลองเขียนเพลงตามจังหวะดู จนไปเรียนต่อที่เยอรมัน ที่นั่นคนฟังฮิพฮอพเยอะจึงเริ่มรู้จัก Nas, Naughty by Nature, 2pac, Eminem, 50 Cent ไล่มาเรื่อยๆ ช่วงนั้นก็เริ่มเขียนมากขึ้น จนได้รู้จักเว็บบอร์ดฮิพฮอพ ได้เขียนเพลงโต้ตอบกับคนอื่น พอกลับมาประเทศไทยก็ไปตามมีตติ้งต่างๆ ก็เริ่มมีสังคมแร็ป จนได้ทำโปรเจ็ค Flip Element ซึ่งเป็นตอนนั้นเป็นช่วงที่ฮิพฮอพบูมมาก เด็กทุกคนทำเพลงไปขายกันในงาน FatFest กันอย่างสนุกสนาน
ต่อมาได้ร่วมงานกับค่ายเพลง Limousine ซึ่งเป็นค่ายเพลง R&B ตอนนั้นพี่หนึ่งซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์เรียกผมไปคุยว่าอยากทำอะไรต่อในชีวิต ผมเลยบอกว่าจะไปเรียน sound engineer เขาจึงชวนผมให้มาทำงานกับเขาหลังเรียนจบ พอเรียนจบจึงกลับมาทำเพลงตอนนั้นมีโปรเจ็คจะทำอัลบั้ม show case โปรดิวเซอร์ เพราะสังคมไทยไม่ค่อยให้เครดิตโปรดิวเซอร์อย่างที่ควรจะเป็น ก็มีเพื่อนๆ พี่ๆ หลายคนมาช่วยกัน หลังจากนั้นก็นั่งทำเพลงอยู่ 2-3 ปี ก็ได้เจอกับ EAZY I AM จึงได้ไปทำเพลงกับค่าย Thaitanium Entertainment ตำแหน่ง sound engineer ช่วยอัดเพลงบ้าง
มีช่วงหนึ่งไปนั่งเล่นร้าน SneakaVilla แล้วเจอกับหมี แล้วรู้ว่าชอบอะไรเหมือนกันเลยชวนกันไปทำ ตอนแรกกะทำเพลงลง YouTube เล่นๆ หลังจากไม่ได้เขียนเพลงมานาน แต่ก็ทำกันได้ช่วงที่ว่างเพราะต่างคนก็ทำงานประจำ ทำไปทำมาสัก 2-3 เพลง เริ่มรู้สึกอยากทำ mv แล้วอยากทำให้ดีด้วยจึงเริ่มลงมือทำ จริงๆ เราสองคนเคยทำเพลงร่วมกันมานาน เคยร้องด้วยกัน แต่ไม่ได้ทำบีทของตัวเอง รอบนี้จึงทำเองหมดทั้งดนตรีและเนื้อร้อง
ศิลปินที่เป็นแรงบันดาลใจ
Tawy : มีอยู่หลายคน ถ้าเป็นศิลปินเมืองนอกจะเป็น J Dilla, Dr. Dre, Kanye West, Pharrell Williams, Nas ถ้าเป็นคนไทยผมชอบ Thaitanium, Joey Boy, Da Killerz ที่มาร้องแร็ปได้ก็เพราะช่วงมัธยมต้น เพื่อนจะเล่นสเกตบอร์ดก็เล่นกับเพื่อน เพื่อนก็ฟังเพลงป็อปพั้งค์ทั่วไป จนเริ่มฟังพวก Limp Bizkit, Korn, Cypress Hill, Linkin Park ซึ่งพวกนี้เป็นแนว nu metal มีการร้องผสมท่อนแร็ปด้วย ตอนนั้นเริ่มฟังแร็ปด้วยและเริ่มฟังเร็กเก้เพราะบางคนเขาก็แร็ปเป็น muffin ฟังแล้วรู้สึกสบายหูดี ตอนนั้นเริ่มมี MTV ผมก็ติดตามดูตลอดแล้วเริ่มชอบมากขึ้นเรื่อยๆ สมัยก่อนไม่มี YouTube ผมต้องนั่งรถเมล์สาย 8 เพื่อไปซื้อวิดีโอฮิพฮอพที่สะพานพุธ หลังจากนั้นสองปีเริ่มมีซีดี ผมก็เริ่มสบายขึ้น ไปร้านคอมโหลดในเว็บ ไรท์ลงแผ่น เพราะไม่มีเงินไปซื้อฟัง พอเริ่มมัธยมปลายจึงเริ่มซื้อเทปและซีดี
ผลตอบรับหลังจากปล่อยซิงเกิ้ล Pussi
Ziggavoy : ตอนแรกก็ไม่หวังอะไรมาก แค่สัก 1,500 วิว ก็ดีใจแล้ว พออัพโหลดเสร็จทิ้งไว้หนึ่งคืนปรากฎว่า 7,000 แล้วยังมีคนแชร์อยู่เรื่อยๆ รู้สึกดีมากเพราะเราตั้งใจทำอะไรที่มันเป็นตัวเองแบบที่เราชอบ เราเคยฟังเพลงแบบนี้ อยากทำให้ใกล้เคียงแบบนั้น ตอนเด็กทำไม่ได้ ตอนนี้ทำได้แล้ว ก็อยากให้ลองฟังดูว่ามันโอเคไหม ผลตอบรับตอนนี้ก็เจ๋งดี คุ้มกับที่เราสองคนตั้งใจทำ
เคยอยากทำอัลบั้มของ ZiggaRice ออกมาไหม
Tawy : ทั้งหมดนี้คิดอยู่แล้วว่าอยากทำออกมาเป็นอัลบั้ม เป็นซีดีแจกเพื่อนๆ ไม่ได้คิดจะทำเป็น mv ด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายเมื่อทำออกมาแล้วผลตอบรับค่อนข้างดี เลยคิดจะทำอัลบั้ม
พูดถึงวงการฮิพฮอพของไทยตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
Tawy : ผมเริ่มเข้ามาในสังคมปาร์ตี้ฮิพฮอพก็ประมาณ ช่วงอายุ 18-19 ซึ่งตอนนั้นฮิพฮอพเป็นสิ่งที่ค่อนข้างบูม ผมได้รู้จักเพื่อนหลายคนที่คบกันมาถึงตอนนี้ ได้รู้จักร้าน SneakaVilla ตั้งแต่เด็กๆ ได้รู้จัก MC หลายคน ตั้งแต่สมัย Thaitanium Mix tape ยุคแรกๆ มันก็มีช่วงบูม และอยู่ตัว จนมาถึงยุคหนึ่งก็เงียบลงเพราะกระแสมันเปลี่ยนไป แต่ฮิพฮอพก็ยังไม่หายไป ผมยังอยู่ยังติดตามเรื่อยๆ ว่ามีใครออกเพลงบ้าง และยังทำกันต่อไปเรื่อยๆ เหมือนยุคปัจจุบันฮิพฮอพก็เริ่มกลับมา มี YouTube เด็กยุคใหม่ก็หาเพลงฟังง่ายขึ้น ทั้งเด็กที่เด็กกว่าผม รุ่นเดียวกัน หรือแก่กว่าผม ก็ยังมีคนฟัง ผมว่ามันค่อนข้างจะไปได้ดีเลย ผมว่าถ้าสังคมตอนนี้ดีขึ้นเรื่อยๆ มันมีศิลปิน มีรายการ แบบ Rap is Now คนที่ติดตามเขาเยอะคนพวกนั้นก็ฟังเพลงแร็ป ชอบฟังแบทเทิล เขาก็สนับสนุนศิลปิน underground ก็มีเด็กที่ฟังฮิพฮอพมากขึ้น ก็น่าจะไปในทางที่ดีหว่านี้
นอกจากนี้ผมยังรุ้สึกว่าเด็กยุคนี้มีความสามารถมากขึ้นผมเคยเจอเด็กอายุเพียง 20 ต้นๆ หรือน้อยกว่านั้นที่ทำเพลงเอง บางคนมีฝีมือดีมากผมจึงรู้สึกว่าการแร็ปมีมาตรฐานที่ดีมากขึ้น ใส่ใจในการมิกซ์มากขึ้น เมื่อก่อนต้องยอมรับว่าอุปกรณ์แพง แต่ทุกวันนี้เทคโนโลยีมันเข้าถึงมากขึ้นด้วยคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว ทำให้น่าจะมีแนวโน้มที่ดีในอนาคต
อยากให้พูดถึงรายการ Rap is Now
Tawy : ถือเป็นอะไรที่ผลักดันผู้คนที่ชอบเพลงแร็ป แร็ปก็เหมือนสังคมแบบหนึ่ง สังคมที่พูดเป็นจังหวะ มีการร้อง มีการแบทเทิล บวกกับทุกวันนี้กระแสดนตรีโลกสังเกตได้ เกาหลีก็มีท่อนแร็ป เพลงอเมริกันก็มีท่อนแร็ป แม้จะไม่ใช่เพลงแร็ปก็ตาม ยุคสมัยมันเปิดรับมากขึ้น
ภาพลักษณ์ที่คนภายนอกมองคุณ
Tawy : ผมแต่งตัวฮิพฮอพตั้งแต่เด็กๆ โดนเพื่อนล้อมาตลอด “โย่ โย่” อะไรแบบนี้ เคยโดนเพื่อนถามว่า “เป็นฮิพฮอพไปทำไม มันทำให้มึงมีเงินเหรอ” เรารับฟังแต่ไม่ได้พูดอะไร แต่คิดในใจแค่ว่าคอยดูแล้วกันว่าฮิพฮอพไม่ใช่เรื่องไร้สาระ คนอื่นอาจจะมองว่าผมเป็นเด็กเกเรไปวันๆ แต่ผมชอบที่ดนตรีและวัฒนธรรม อันที่จริงก็ไม่ได้โกรธมากมาย แค่รู้สึกว่ามันควรเป็นอาชีพได้
Ziggavoy : สำหรับผมก็โดยแซวเรื่อยๆ แต่ไม่ค่อยได้สนใจอะไร เพราะเขาก็รู้ว่าเราทำเพลง เรามีผลงาน ผมอยากทำผมก็ไปเรียน sound engineer เพราะตั้งใจที่จะทำ
อยากฝากอะไรถึงคนที่เริ่มฟังฮิพออพตอนนี้
Tawy : การร้องแร็ปความสนุกอยู่ที่การใช้ถ้อยคำที่มีความหมาย พลิกแพลงสนุกได้หลากหลาย บางคนเริ่มฟังตามเพื่อนแล้วเกิดชอบ ซึ่งก็ไม่ผิด ถ้าเราฟังแล้วรู้สึกใช่ จริงๆ ฮิพฮอพก็ไม่ใช่เพลงที่ฟังยาก ถ้าเราจินตนาการตามการเล่าเรื่องของเขา ถ้าเราลองสัมผัสกับสัดส่วนที่เขาร้อง การเรียบเรียงคำที่พูดออกมา ผมว่ามันสนุกดีเหมือนการวาดรูป แต่ผมวาดไม่เก่งเลยเขียนออกมาเป็นเพลงแทน
Ziggavoy : อยากให้ลองฟังดู เพราะฮิพฮอพไม่ได้ฟังยากขนาดนั้น มันมีความหมายอยู่ในทุกเพลง เพลงทุกวันนี้ความหมายอาจน้อยลงหากเทียบกับเมื่อก่อน แต่ภาคดนตรีมันก็เพิ่มขึ้นและดีขึ้น เพลงมันปลี่ยนไปตามกาลเวลา ถูกดัดแปลงไปเรื่อยๆ ลองฟังดูถ้าว่าจะชอบไหมเพราะฮิพฮอพมีหลายแนวให้เสพ แล้วจะรู้ว่าฮิพฮอพมีหลายสีสันมากกว่าที่คิด
ติดตามผลงานของ Ziggarice ได้เพิ่มเติมที่
https://www.facebook.com/ZiggaRice/
Clothing : #SneakaVilla
Interview : Farfar
Photos : Ballisticone