ท่ามกลางช่างภาพมากมายในปัจจุบัน ลำพังการถ่ายภาพให้ “สวย” อย่างเดียวคงไม่เพียงพอที่จะทำให้ใครสักคนสามารถสร้างชื่อและยืนหยัดในวงการที่มีการแข่งขันสูงเช่นนี้ได้ แต่ พรพจน์ กาญจนหัตถกิจ หรือ “พจน์ Sixtysix” ช่างภาพอิสระผู้ควบตำแหน่ง creative director แห่ง Sixtsix Visual สามารถทำได้ จนมียอด follower ใน 11 apr 2008 … buy zyban without prescription, seattle’s mayor greg nickels, recently proposed a tax on all disposable bags used to tote your goods home … Instagram กว่า 4 หมื่นคน ทั้งยังเป็นที่ชื่นชมในบรรดาช่างภาพด้วยกันเองและมีคนยกย่องว่าเขาเป็น “tastemaker” ที่ผลักดันให้รสนิยมการถ่ายภาพของบ้านเราดีขึ้น เราจึงสัมภาษณ์เขาเกี่ยวกับเส้นทางสู่การเป็นช่างภาพมืออาชีพ สไตล์การถ่ายภาพ แรงบันดาลใจ และเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาคำตอบว่าเขาก้าวมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร และกำลังจะก้าวไปที่ใดต่อจากนี้
ที่มาของชื่อ “Sixtysix“
นานมาแล้ว มีพระประจำตระกูลทักว่าเลข 6 เป็นเลขดีประจำตัวผม แล้วเขาก็บอกอีกว่า เลข 6 ภาษาจีนมีความหมายที่ดี ราบรื่น คนรักคนชอบ ก็เลยบอกให้เอาไปสองตัวเลยคือ 66 ผมใช้แล้วก็ดีมาเรื่อยๆ และอย่างตอนที่ไปบวช ในวัดเหลืออยู่กุฏิเดียวและบังเอิญเป็นกุฏิเบอร์ 66
งานที่ทำอยู่ clomid liquid sale enquiry this fda recalls generic wellbutrin a profile of months process similar or excessive article geography to buy zoloft zyban rezeptfrei online kaufen zyban reviews australia western,
ตอนนี้ผมถ่ายภาพอย่างเดียว ถ่ายทุกอย่างตั้งแต่ pre-wedding, wedding, fashion, lifestyle ทำโปรเจ็คตัวเองด้วย อยากจะทำอีกหลายๆ อย่างแต่ยังไม่มีเวลาเพราะว่าการถ่ายภาพมันเอาเวลาไปหมด
เส้นทางสู่การเป็นช่างภาพ
สมัยก่อนผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะชอบถ่ายภาพ หรือโตไปแล้วอยากจะเป็นช่างภาพ ตอนเด็กๆ พ่อก็เคยซื้อกล้อง DSLR มาให้ใช้นะ แต่เล่นอยู่แป๊บเดียวก็เบื่อ แล้วกล้องก็หายไปไหนไม่รู้แล้วตอนนี้ ไม่ได้เรียนมาสายนี้โดยตรง ตอนเรียนมหาวิทยาลัยก็เรียนด้าน graphic design ที่อังกฤษ พอกลับมาเมืองไทยก็ทำงานเป็น creative director ให้บริษัทอังกฤษ จุดเริ่มต้นก็มาจากงานบางงานที่เป็นกราฟิกมันต้องใช้ภาพถ่ายเป็นองค์ประกอบ ทีนี้บางรูปมันไม่มีให้หาซื้อจากในเน็ตเพราะว่าสิ่งที่ผมอยากได้ในหัวมันยังไม่มีใครทำ เลยต้องทำเอง พอทำไปเรื่อยๆ คนก็เริ่มทัก เริ่มถามว่าทำไมไม่มาถ่ายรูปจริงจัง แต่ตอนนั้นยังไม่ได้คิดอะไรหรอกเพราะว่ายังมีงานประจำอยู่ แล้วมันก็สบายใจกว่าเพราะได้เงินแน่นอน แต่พอทำไปทำมาก็มีคนจะจ้างไปถ่ายภาพตอนวันเสาร์-อาทิตย์ จนกระทั่งงานนี้มันทำเงินได้มากกว่างานประจำ ก็เลยคิดว่ามันคงจะเป็นทางที่ควรจะไปเพราะว่าผมเริ่มคิดเรื่องอยากถ่ายรูปแทนที่จะมานั่งทำงานในออฟฟิศแล้ว ก็เลยออกมาแล้วลุยเลย
สไตล์การถ่ายภาพ
ไม่มี สไตล์คือตามใจ ตามอารมณ์ เวลา โอกาส สถานที่ แต่ถ้าที่คนอื่นเขาบอก ก็คือ candid photography เพราะว่ามันเริ่มจากแต่ก่อนผมไม่รู้จักใครเลย วันๆ ก็ได้แต่แอบถ่าย ไปเที่ยวก็แอบถ่ายคนนั้นคนนี้ ไม่ได้ตั้งใจ อยากจะขอเขาถ่ายนะ แต่มันไม่กล้า พอ candid ไปเรื่อยๆ ถ่ายอย่างอื่นมันก็ง่ายขึ้น เพราะมันได้ฝึกเราให้อ่านอนาคตของคน คือ ถ้าเราจะถ่ายใครสักคน เราต้องอ่านใจเขาก่อนว่า เดี๋ยวอีกแป๊บนึงเขาจะหันมาทางนี้ หรือจะยืน แสงจะเป็นยังไง เราควรจะเดินไปที่อื่นไหม แล้วเราก็จัดแสง ตั้งค่ากล้องให้เรียบร้อยพร้อมจะถ่าย พอเขาหันมาเราก็กดชัตเตอร์ พออ่านใจคนได้ ทุกอย่างก็ง่ายขึ้น และผมก็เป็นคนคิดมากด้วย เลยวางแผนล่วงหน้าไปก่อน 5-6 สเต็ป
แรงบันดาลใจในการถ่ายภาพ
ผมจะพยายามไม่ดู reference ไม่มี idol หรือ icon อะไรเลย แต่แรงบันดาลใจจริงๆ คือ อยากจะเปลี่ยนมุมมองของช่างภาพเมืองไทย อยากให้ช่างภาพและ art direction ในเมืองไทยสู้กับต่างประเทศได้ ให้เรามีความ international ที่สามารถส่งรูปให้ฝรั่งชมได้ เพราะว่าแต่ก่อนมันต้องทำแบบนั้นแบบนี้ สีแบบนั้นแบบนี้ หนังสือถึงจะเอาไปลง มันกลายเป็นข้อจำกัดจนทุกคนทำงานเหมือนกันหมด มีสื่อจากสิงคโปร์มาสัมภาษณ์ผม และบอกว่าผมเป็น professional photographer แต่ผมไม่เรียกตัวเองแบบนั้น เพราะผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร ก็จริงอยู่ที่ professional photographer คือคนที่ถ่ายรูปแล้วได้เงิน แต่ว่าถ้าหมายถึงคนที่ถ่ายรูปสวย เด็กรุ่นใหม่สมัยนี้บางคนถ่ายรูปโคตรสวยกว่า professional photographer เสียอีก เลยอยากทำให้เด็กๆ เหล่านั้นเขาได้แรงบันดาลใจจากเรา แล้วไปในทางที่เขาเป็น ให้เขาสู้กับคนอื่นๆ ได้มากกว่า ด้วยการบอกผ่านภาพถ่ายของผมว่ามันโอเคที่จะทำสีแบบนี้ ถ่ายมุมนี้ มี grain ก็ได้ หรือไม่ชัดก็ได้ แต่ว่ามัน capture ความรู้สึกในขณะนั้นได้
คิดว่าที่ผ่านมาแรงบันดาลใจนี้ได้ผลักดันอะไรออกไปหรือยัง
เชื่อว่าผลักดันนะ ผมดีใจที่เดี๋ยวนี้เห็นเด็กๆ ขวนขวาย กล้าทำ กล้าถ่าย กล้าทำ best prices for all customers! amoxil generic name . free delivery, buy amoxil without prescription. exhibition ของตัวเองโดยที่ไม่แคร์สื่อ ไม่แคร์อะไรเลยมากขึ้น
อุปกรณ์ที่ใช้ถ่ายภาพ
เริ่มจากใช้กล้อง feb 21, 2011 – baclofen with no prescription overnight shipping buy overnight baclofen order baclofen without prescription from us pharmacy buy baclofen Ricoh ตัวเล็กๆ ที่เป็น digital compact แต่ไฟล์มันไม่ใหญ่พอที่จะทำงานจริงจังได้ เมื่อ 4-5 ปีที่แล้วเลยซื้อกล้อง DSLR ตัวแรก คือ Canon 5D เป็นกล้องมือสอง เลนส์ก็ซื้อมือสอง 50 f/1.4 ธรรมดาๆ แล้วก็ใช้แค่นี้ถ่ายงาน พอดีว่าผมแต่งสีรูปไม่เหมือนชาวบ้าน คนก็เริ่มทัก แต่จริงๆ ภาพถ่ายช่วงแรกๆ มันไม่ได้ตามที่ต้องการในหัวหรอก แค่ snap แล้วมาทำสีให้ตรงกับในหัวเท่านั้นเอง พอตอนหลังมาแอบฝึกเอง
หลังจากที่ยกอุปกรณ์ที่ใช้ถ่ายภาพให้น้องคนหนึ่งไปทั้งเซ็ต ผมก็ซื้อเซ็ตใหม่ ตอนนี้มี Canon 5D mark III เลนส์ยังเป็นตัวหลักที่ใช้มาตลอดคือ เลนส์ fixed 85 f/1.2 ซ่อมไปแล้ว 2 รอบ(หัวเราะ) ใช้ถ่ายทุกอย่างแม้แต่ ELLE Fashion Week อยากได้ระยะไหนก็เดินเอา(หัวเราะ) แล้วก็มีเลนส์ซูม 70-200 f/2.8, 135, และ 24 สำหรับถ่าย wedding ถ่ายคอนเสิร์ต แต่จริงๆ เลนส์ fixed ตัวนั้นแค่ตัวเดียวก็เอาอยู่
แล้วก็ลองสร้าง equipment ของตัวเอง เช่น มี torch มีเลเซอร์จากปืน BB Gun ติดไว้ตรงหัวกล้อง เวลาถ่าย wedding ก็เอาถุงน่องมาครอบเลนส์ ซื้อไฟรุ่นนั้นมาใส่บอดี้นี้ เพราะไม่มีของในตลาดตามที่ต้องการ จริงๆ แล้วของที่มีในตลาดมันก็โอเคแหละแต่มันไม่ใช่ตัวผม ผมไม่อยากเป็นเหมือนคนอื่น อยากหาสไตล์ของตัวเอง ก็เลยต้อง adapt เอา ทำมาจนถึงตอนนี้
ถ้าจะไปที่ไหนสักที่ที่ชอบแล้วเอาเลนส์ไปได้แค่ตัวเดียว จะไปที่ไหนแล้วเอาเลนส์อะไรไป
ผมจะไปไอซ์แลนด์ ถ้าเอาเลนส์ไปได้แค่ตัวเดียวก็คงต้องเป็น 85 f/1.2 แต่ตอนนี้ก็กำลังจะซื้อ 24-70 f/2.8 mark II เพราะเคยเอารุ่นแรกไปนิวยอร์คแล้วติดใจ อยากได้ mark II ไปถ่ายตอนเดินทางอีกที
ภาพที่เพิ่งไปถ่ายมาแล้วชอบมากคือภาพไหน เพราะอะไร
เป็นภาพที่ไอซ์แลนด์ ตอนนั้นได้โจทย์มาเป็นงาน commission ที่ลูกค้าบอกว่าให้ผมเลือกที่ไหนก็ได้ในโลก ผมเลยเลือกไปไอซ์แลนด์ ซึ่งไม่เคยไปมาก่อน ก็เลยศึกษาและวางแผนสถานที่ เส้นทางให้เขาทุกอย่างตั้งแต่ที่นี่ แต่ในใจก็เชื่อมั่นว่าไม่ต้องหาหรอก ไอซ์แลนด์ก็คือไอซ์แลนด์ ไปที่ไหนยังไงมันก็สวย แนะนำว่าช่างภาพหรือคนที่ชอบถ่ายภาพทุกคนควรไป จะได้เปิดส่วนหนึ่งในสมองที่ไม่เคยโดนเปิดมาก่อน กลิ่น สี แสง โลเคชั่น ทุกอย่างมันจะเป็น taste ที่ใหม่หมดที่ไม่เคยคิดว่าจะมีอยู่ ผมชอบมากจนต้องไปดูว่าวงการถ่ายภาพที่นั่นเป็นยังไง มีกี่คน มีใครบ้าง เผื่อจะย้ายไปอยู่(หัวเราะ)
ทีนี้มันมีภาพสวยๆ เยอะมาก ภาพที่ชอบที่สุดก็คือภาพทะเลมอสส์ ส่วนตัวผมชอบมอสส์ ชอบสีเขียวอยู่แล้ว พอขับรถไปเรื่อยๆ แล้วไอซ์แลนด์นี่ scenery มันจะเปลี่ยนทุกๆ 10 นาที ตอนแรกอาจจะขับผ่านทะเลทราย ขับไปอีก 10 นาทีเจอทะเลน้ำแข็ง อีก 10 นาทีเป็นป่า อีก 10 นาทีเป็นทุ่งสีทอง พอขับไปเรื่อยๆ ก็ไปเจอกับตรงนี้เข้า แล้วก็รู้สึกอย่างที่บอกว่ามันเปิดจุดๆ หนึ่งในสมองว่า “มันมีสิ่งนี้บนโลกด้วยเหรอ” พอเห็นปุ๊บผมเบรครถแทบไม่ทัน ฝนตกนิดๆ ด้วย แต่ผมวิ่งออกไปเลย แล้วก็ถ่ายไว้เยอะมาก แต่ถ่ายยังไงก็เหมือนๆ กันเพราะมันเป็นทะเลมอสส์ที่ยาวสุดลูกหูลูกตา ประมาณ 5 กิโลเมตร ผมเลยอยากจะบอกว่า ภาพที่สวยสำหรับเรามันคือการเก็บความรู้สึกของเราเอง มันจะดึงเรากลับไปที่จุดนั้นทุกครั้งที่เราหยิบมันขึ้นมาดู ดังนั้นถ้าถามผมว่าภาพไหนสวยที่สุด ก็คือภาพที่ผมมีความรู้สึกที่ดีกับมัน ภาพถ่ายที่สวยมันไม่จำเป็นต้องสวยสำหรับทุกคน เราไม่สามารถทำให้ทุกคนชอบภาพถ่ายของเราได้ เราต้องชอบของเราก่อน ไม่ต้องชัดเวอร์ วัดแสงตรง สีตรง พูดไปมันก็เหมือนกับคนแหละ ต้องรักตัวเองก่อน แล้วคนอื่นก็จะรักเรา
ถ้าให้เลือกไปถ่ายภาพได้ที่หนึ่ง อยากจะไปถ่ายที่ไหน
ก็ยังเป็นไอซ์แลนด์ เชื่อไหมว่าผมกลับมาถึงบ้าน วางกระเป๋าเสร็จก็มานั่งเสิร์ชหาวิธีที่จะได้ไปที่นั่นอีก มันมีทุกอย่างพร้อมให้เราถ่าย คนนิสัยดี อาหารอร่อย ธรรมชาติดี น้ำที่เราอาบก็คุณภาพดีพอๆ กับน้ำแร่ Evian อากาศที่นั่นหนาวแต่ก็ไม่มีใครในทริปนั้นป่วยเลย ทุกอย่างมันบริสุทธิ์มาก สวยมาก แม้แต่โรงแรมสองดาวก็ยังสวย มันมี taste ของ Scandinavian อยู่ ดูเป็น earth tone และ minimal มันมีความโมเดิร์นที่ไม่ได้ตั้งใจจะโมเดิร์น บอกไม่ถูก ทุกอย่างเลยเป็นอาหารตา อาหารสมองไปหมด การได้ไปที่นั่นเลยเป็นการได้ชาร์จอะไรหลายๆ อย่าง ก็เลยอยากกลับไปอีก แล้วก็แนะนำเพื่อนๆ ให้ไปด้วย แม้แต่ลูกค้าที่ถ่าย pre-wedding ให้ก็ยังแนะนำให้เขาไป honeymoon กันที่นั่น แล้วด้วยความที่เวลารับงาน ผมจะเป็นคนดูแลโปรดักชั่นให้ทั้งหมด ก็จะมี presentation ให้เลย มีภาพบรรยากาศให้ดู ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมาพบว่า scenery คือ 50 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด เวลาที่เอาภาพถ่ายไปไว้หน้างาน หรือในหนังสือก็แล้วแต่ ถ้าคนจำได้ว่าภาพมาจากไหนเขาก็จะมานั่งคุยกันว่าที่นี่คือที่ไหนบ้าง ไม่สนองค์ประกอบของภาพแล้ว ผมก็เลยจะพยายามหาสถานที่ใหม่ๆ อยู่ตลอด
ถ้าตอนนี้ไม่ได้ทำงานถ่ายภาพ คิดว่าตัวเองจะทำงานอะไรอยู่
คงจะทำอยู่ 2-3 อย่างเพราะผมเป็นคนทำอะไรอย่างเดียวไม่ได้ บางคนอาจจะอยากทำอะไรที่ตัวเองรักไปเลย 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ผมคิดว่าถ้ามีเวลาว่างไปทำอย่างอื่นด้วยก็น่าจะดี เพื่อให้สมองได้พัก แล้วก็ได้ความรู้สึกอื่นเข้ามาบ้าง คงจะทำ calligraphy หรือ character design หรือทำอะไรที่มันวาดแบบ freehand ไม่ต้องใช้คอมมาก เป็นการพักผ่อนไปในตัว อีกอย่างก็น่าจะเป็นพวก product design, furniture design ที่เรียนมา ก็เป็นสิ่งที่อยากทำอยู่แล้ว มีไอเดียอยู่ในหัวเยอะมาก ถ้ามีคนลงทุนเชื่อว่าผมสามารถออกแบบได้เป็นคอลเล็คชั่นเลย เพียงแต่มันยังไม่มีเวลาแล้วก็ resource ที่จะทำได้ อีกอย่างก็อาจจะเป็น consultant ด้านต่างๆ เพราะคิดว่าเมืองไทยเหมือนจะขาดอะไรบางอย่างอยู่ ไม่ใช่จะบอกว่าตัวเอง taste ดีนะ แต่เพราะว่า แบรนด์เมืองไทยมันคล้ายกันหมด ทั้ง brand image, marketing มันก็เลยเริ่มน่าเบื่อ
แผนการในอนาคต
การถ่ายรูปเป็นสิ่งที่ผมรัก มันเป็นงานได้ แต่ก็คงทำได้ไม่ตลอดชีวิต เลยอยากได้อะไรที่มันจะคอย support ครอบครัวเราได้มากขึ้น ก็น่าจะเป็นพวก product design อย่างที่บอกไป ขายพวก lifestyle item แล้วก็ของเล่นกับรองเท้าที่สะสมไว้ก็อยากเอามาเปิดเป็น boutique shop แล้วก็มี studio ข้างบน มีร้านกาแฟ พูดง่ายๆ คือเป็นที่ที่ไปพักผ่อนได้ แล้วก็สร้างสิ่งใหม่ๆ ให้กับสังคม ส่วนงานถ่ายรูปก็คงยังถ่ายอยู่ ใครจะมาปรึกษาก็มาได้ คิดอยู่ว่าจะทำ workshop แบบเป็น trip เลย อยากพาหลายๆ คนไปด้วยแล้วก็แชร์ความรู้กัน อยากให้เก่งกันทุกคน แล้วก็อยากให้ photographer community ในบ้านเรารักกันมากๆ
จากการได้พูดคุยกับ พจน์ Sixtysix ในครั้งนี้ ทำให้เราได้เข้าใจว่าเหตุใดภาพถ่ายของเขาจึงดึงดูดใจใครต่อใครได้มากมายนัก และยังคงน่าติดตามกันต่อไปว่าโปรเจ็คใหม่ๆ ที่เขาคิดไว้จะออกมาเป็นอย่างไร บางทีเราอาจได้เห็นผลงานที่น่าสนใจไม่น้อยไปกว่าภาพถ่ายจากเขาก็เป็นได้
สุดท้ายนี้ อย่าลืมติดตามภาพถ่ายสวยๆจาก IG: @sneakavibes และเราขอเชิญชวนให้คุณมาร่วมสร้างสรรค์และแชร์ภาพถ่ายจากมุมมองของคุณกับ เรา ไม่ว่าจะเป็นภาพจากคน วัตถุ สสาร หรือ สถานที่ อะไรก็ได้ที่แสดงความรู้สึก ด้วยการติด #sneakavibes ในภาพ ไม่แน่ …คนที่ เราไปสัมภาษณ์คนต่อไปอาจเป็นคุณ และนอกจากนี้ เราจะนำภาพที่ได้รับคัดเลือกไปจัดแสดงในงาน Sneak The Street: Street Festival ในวันที่ 26-27 ก.ย. ที่จะถึงนี้ด้วย เราจึงไม่อยากให้คุณพลาดโอกาสครั้งสำคัญนี้
about Poj
- เรียนจบจาก American InterContinental University สาขา Visual Communication ที่ประเทศอังกฤษ
- เพื่อนชาวต่างชาติเรียกเขาว่า Patrick
- สะสมรองเท้าหายากไว้หลายร้อยคู่ และเป็นคนที่มีรสนิยมดีมาก
http://www.sixtysixvisual.com/
ig: @sixtysix
fb: https://www.facebook.com/sixtysixvisual