Track 1: Intro
หากมีใครสักคนบอกว่าเขาคือ “ศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนี้และสามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้ ” คงไม่มีใครเชื่อ หนำซ้ำอาจจะหัวเราะเยาะ แต่หากคนคนนั้นชื่อ “Kanye West” แล้วล่ะก็… บางทีเขาอาจจะพูดถูกก็ได้ ลองคิดดูว่าจะมีสักกี่คนที่ประสบความสำเร็จทั้งในฐานะโปรดิวเซอร์มือทองที่อยู่เบื้องหลังผลงานเพลงฮิตของ Jay Z, Janet Jackson, Alicia Keys และอีกมากมาย เป็นแร็ปเปอร์ชั้นนำที่คว้ารางวัลใหญ่มาแล้วแทบทุกรายการไม่ว่าจะเป็น Grammy Awards, American Music Award,หรือ MTV Video Music Awards และอื่นๆ รวมเกือบ 100 รางวัล ทำรายได้มหาศาลและได้รับคำชมอย่างล้นหลามจากนักวิจารณ์เพลงแทบทุกครั้งที่ออกอัลบั้มใหม่ เป็นเจ้าของค่ายเพลงที่ปั้นศิลปินเจ๋งๆ อย่าง John Legend, Kid Cudi, และ Big Sean ให้ได้แจ้งเกิดในวงการ ไปจนถึงเป็นแฟชันดีไซเนอร์ผู้ออกแบบเสื้อผ้าและรองเท้าที่คนทั่วโลกใฝ่ฝันจะครอบครอง เราจึงอยากพาคุณไปทำความรู้จักกับตัวตนของ Kanye West อย่างลึกซึ้งเพื่อจะได้เข้าใจว่าเขาประสบความสำเร็จขนาดนั้นได้อย่างไรผ่านเรื่องราวในบทความนี้
Track 2: Kanye the Kid
ชื่อที่ไม่ซ้ำใครของ Kanye นั้นมาจากภาษาสวาฮิลี(ชนเผ่าหนึ่งในแอฟริกา) ที่แปลว่า “เพียงหนึ่งเดียว ” และมีชื่อเต็มๆ ว่า Kanye Omari West เขาเกิดในเมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. 1977 ในครอบครัวชนชั้นกลางที่มีพ่อ “Raymond West” เป็นช่างภาพมือรางวัลของหนังสือพิมพ์ Atlanta Journal-Constitution และแม่ “Dr. Donda West” อาจารย์สอนวิชาภาษาอังกฤษใน Clark Atlanta University แต่ทั้งคู่แยกกันอยู่ตั้งแต่ Kanye อายุเพียง 11 เดือนและหย่ากันเมื่อเขาอายุ 3 ขวบ จากนั้นแม่ก็พาเขาไปเลี้ยงและย้ายไปอยู่ที่เมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ เพื่อรับตำแหน่งอาจารย์ที่ Chicago State University โดยที่เขามีโอกาสได้คุยกับพ่อทางโทรศัพท์และเจอหน้าพ่อเฉพาะช่วงปิดเทอมหน้าร้อนเท่านั้น และด้วยความที่เป็นลูกคนเดียว ทำให้เขาสนิทกับแม่และรักแม่มากอย่างที่เขาเคยบอกว่า “แม่คือทุกสิ่งทุกอย่างของผม ”
แม้จะต้องดูแลลูกเพียงคนเดียว แต่ Donda ก็ทำอย่างเต็มที่ เธอส่งเสีย Kanye ให้ได้เรียนในโรงเรียนดีๆ ทั้งยังปลูกฝังให้เขาเป็นคนมั่นใจในตัวเอง และกล้าแสดงออก ดังนั้น Kanye จึงเป็นเด็กที่กล้าที่จะอวดความสามารถของตนอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเรื่องวาดรูป แต่งกลอน แร็ป เล่นดนตรี หรือแม้เต้นเบรคแดนซ์ แถมยังทำได้ดีเสียด้วย เขาฉายแววศิลปินตั้งแต่อนุบาลด้วยฝีมือการวาดรูปที่โดดเด่นเกินเด็กรุ่นเดียวกัน ทั้งยังหัดแต่งกลอนตั้งแต่อายุ 5 ขวบ พอโตขึ้นหน่อยก็หัดแร็ปเองตอนเรียนเกรด 3 ต่อมาก็เริ่มแต่งเพลงแรกตอนเกรด 7 หลังจากที่แม่ซื้อโปรแกรมทำเพลงในคอมพิวเตอร์ให้ และเมื่อแม่ซื้อคีย์บอร์ดตัวแรกให้เป็นของขวัญคริสต์มาสเขาก็หันมาสนใจดนตรีเพียงอย่างเดียวและมักนั่งทำเพลงอยู่ในบ้านเมื่อมีเวลาว่างโดยมีศิลปิน hip hop อย่าง MC Hammer, Kid ‘N Play, A Tribe Called Quest, Lauryn Hill, The Pharcyde, Smif N Wessun, และ Black Moon เป็นแรงบันดาลใจ
สมัยเรียนมัธยมที่ Polaris High School เขาแต่งเพลงชื่อว่า “Green Eggs & Ham” ให้กับวง hip hop วงแรกของเขา “State of Mind” ที่ฟอร์มขึ้นมากับเพื่อนๆ และนำเพลงนี้มาโน้มน้าวแม่ให้พาไปเข้าห้องอัดเสียงแห่งหนี่งเพื่ออัดเดโมเพลงนี้ และเมื่อ Kanye รู้ว่าโปรดิวเซอร์ฝีมือดีอย่าง No I.D. (ผู้ที่ Kanye ตั้งฉายาให้ในภายหลังว่า “The Godfather of Chicago Hip Hop”) เป็นลูกชายเพื่อนร่วมงานของแม่ที่มหาวิทยาลัย เขาก็รบเร้าแม่ให้พาไปเจอตัวโปรดิวเซอร์คนนี้ทันที แม้ว่าทีแรก No I.D. จะปฏิเสธที่จะฝึกเรื่องการทำเพลงให้กับ Kanye ตามที่ขอมาหลังจากที่ได้ฟังเดโมเพราะคิดว่าฝีมือการแต่งเพลงของ Kanye นั้นถึงจะพอมีแววแต่ยังค่อนข้างธรรมดาด้วยวัยที่ยังเด็กอยู่ แต่ Kanye ก็ยังไม่ลดละความพยายาม เขาดักรอ No I.D. ที่หน้าสตูดิโอและคอยตามตื๊อจนใจอ่อนในที่สุด หลังจากนั้น No I.D. ก็ถ่ายทอดความรู้ให้และยังแนะนำให้เขาได้รู้จักกับเพื่อนศิลปินที่เขากำลังทำอัลบั้มให้อย่าง Common อีกด้วย
ในช่วงมัธยมปลายเขาก็เริ่มทำบีทขายให้ศิลปินในชิคาโกด้วยกัน ทั้งยังร่วมมือกับ John Monoply แมวมองและโปรโมเตอร์เพื่อฟอร์มทีมโปรดัคชั่นชื่อว่า “Numbskulls” ขึ้น และรับงานโปรดัคชั่นจนเป็นที่รู้จักในชิคาโก
Track 3: Kanye the Producer
แม้ Kanye จะเป็นเด็กหัวดี แต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่ Chicago State University (ที่เดียวกับที่แม่เขาสอนอยู่) เขาก็ไม่ได้ตั้งใจเรียนนัก ระหว่างนั้นก็รับทำเพลงไปด้วยจนได้เป็นโปรดิวเซอร์อย่างเป็นทางการครั้งแรกด้วยการทำเพลงให้แร็ปเปอร์ชาวชิคาโกด้วยกันที่ชื่อ Grav ในอัลบั้ม “Down to Earth”
เมื่อมัวแต่ยุ่งอยู่กับงานเพลงทำให้เขาเริ่มขาดเรียนและขาดส่งการบ้าน ด้วยความตั้งใจที่จะยึดงานเพลงเป็นอาชีพ ทั้งยังสามารถหาเงินเองได้แล้ว Kanye จึงตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยซึ่งทำให้แม่ของเขาไม่พอใจอย่างมากเพราะคาดหวังว่าลูกชายจะเรียนจบปริญญาตรีเป็นอย่างน้อย แต่ก็ไม่อาจขัดขวางความตั้งใจของเขาได้
หลังจากงานโปรดิวซ์อัลบั้มแรกเสร็จสิ้น เขาก็รับงานเป็น ghost producer (คนที่ทำหน้าที่โปรดิวซ์งานแทนโปรดิวเซอร์ตัวจริง แต่ไม่ได้เครดิต) ให้กับ D. Dot โปรดิวเซอร์แห่งค่าย Bad Boy ของ P. Diddy และแต่งเพลงให้ค่ายใหญ่อย่าง Def Jam ด้วย ทำให้ Kanye มีโอกาสทำเพลงให้ศิลปินดังมากมายในช่วงปลายยุค 1990s เช่น Foxy Brown, Harlem World, Goodie Mobb, และ The Madd Rapper (โปรเจ็คโซโลของ D. Dot เอง) แต่ที่จริงแล้ว ความฝันของเขาคือ “ต้องเป็นแร็ปเปอร์ชื่อดังให้ได้ ” เขาจึงฟอร์มวง “Go Getters” ขึ้นมาร่วมกับเพื่อนๆ อย่าง GLC, Timmy G, Really Doe และ Arrowstar โดยมีผลงานเพลงอยู่ในอัลบั้ม “World Record Holders” ที่ออกร่วมกับศิลปินคนอื่นๆ ในค่ายอินดี้ชื่อ Hustle Period ในปี 1999 แม้จะได้โปรโมทในรายการวิทยุ และได้โชว์ในคลับบ้างแต่ทั้งหมดก็ต้องแยกย้ายกันไปเสียก่อนที่จะได้ออกอัลบั้มอย่างเป็นทางการ
เมื่อการอยู่ในชิคาโกไม่สามารถทำให้ฝันเป็นจริงได้ Kanye จึงย้ายไปอยู่เมืองนูอาร์ก รัฐนิวเจอร์ซี ที่อยู่ติดกับนิวยอร์คเผื่อจะมีโอกาสได้งานที่นั่น แล้วเขาก็ได้จริงๆ เมื่อ Jay Z แร็ปเปอร์รุ่นใหญ่เจ้าของค่าย Roc-A-Fella ที่อยู่ในเครือ Def Jam เกิดประทับใจในฝีมือการทำบีทที่มีพลังและน่าสนใจของ Kanye เข้า จึงชักชวนให้เขามาเป็นโปรดิวเซอร์ในสังกัดตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา Kanye จึงมีโอกาสทำเพลงให้ศิลปินในค่ายอย่าง Beanie Siegel, Freeway, Cam’ron รวมถึง Jay Z ในอัลบั้ม “The Blueprint” ที่ทำให้ Jay Z กลับมาโด่งดังอีกครั้งและนับเป็นอัลบั้ม hip hop ยอดเยี่ยมชุดหนึ่ง นอกจากนี้ยังทำเพลงให้ศิลปินดังค่ายอื่น เช่น Nas, Ludacris, และ Talib Kweli อีกด้วย
แม้ทุกคนจะยอมรับฝีมือการโปรดิวซ์ของ Kanye แต่ยังไงเขาก็ต้องการให้ทุกคนยอมรับเขาในฐานะแร็ปเปอร์ที่ทำเพลงได้มากกว่า แต่กลับไม่มีใครในค่ายคิดแบบนั้นแม้แต่เจ้าของค่ายอย่าง Jay Z และ Damon Dash เพราะคิดว่าเขาดูไม่น่าจะขายได้ ดูไม่เข้ากับศิลปินคนอื่นๆ ในค่ายเพราะขาดลุคแบบ gangster ทั้งยังไม่มีประวัติชีวิตที่โชกโชน เขาจึงพยายามนำเพลงเดโมที่ทำเก็บไว้หลายๆ เพลงตั้งแต่ตอนอยู่ชิคาโก(รวมถึงเพลง “Jesus Walks” ที่ต่อมากลายเป็นเพลงดังในอัลบั้มแรก) ไปนำเสนอค่ายเพลงตั้งหลายที่ แต่ทุกค่ายก็ปฏิเสธหมด หลายครั้งที่เขาต้องเดินออกจากห้องประชุมทั้งน้ำตา แต่ก็ไม่เคยคิดล้มเลิก เมื่อมีเวลาว่างก็เอาแต่เก็บตัวทำเพลงอยู่ในห้องเป็นวันๆ หรือหลายวันเพื่อแต่งเพลงออกมาให้ได้เยอะที่สุด
หลังจากเจรจากันหลายรอบ ในที่สุด Damon ก็ตกลงเซ็นสัญญากับ Kanye ในปี 2002 แม้เหตุผลที่แท้จริงจะเป็นเพราะกลัวว่าเขาจะออกไปเป็นโปรดิวเซอร์ให้ค่ายอื่นมากกว่าที่จะอยากได้เขาเป็นแร็ปเปอร์ก็ตามที
Track 4: Kanye the Rapper
แม้ว่าจะได้เซ็นสัญญาแล้ว แต่อุปสรรคในการออกอัลบั้มของ Kanye ก็ยังไม่หมดแค่นี้ โปรเจ็คเป็นไปอย่างล่าช้าเพราะค่ายยังไม่ได้ให้ความสนใจเขาในฐานะแร็ปเปอร์นัก แต่เขาก็พยายามทุ่มเทอย่างหนักเพื่อทำเพลงอัลบั้มนี้ให้เสร็จจนกระทั่งเขาประสบอุบัติเหตุรถชนเนื่องจากอดนอนจากการทำเพลงในสตูดิโอจนต้องเย็บขากรรไกรหลายจุด หลายคนคิดว่าเขาคงกลับมาแร็ปไม่ได้แล้ว แต่ด้วยใจที่สู้เกินร้อย Kanye ก็ฝืนเข้าห้องอัดใน 2 อาทิตย์ต่อมาเพื่อแร็ปเพลง “Through the Wire” ทั้งที่ยังมีไหมเย็บขากรรไกรอยู่ เขาถ่ายทอดความเจ็บปวดและการต่อสู้ผ่านเนื้อหาของเพลงที่เกี่ยวกับอุบัติเหตุครั้งนี้และชีวิตที่ผ่านมา ซึ่งถ้าฟังเพลงนี้ดีๆ จะสังเกตได้ว่าเขากำลังแร็ปแบบกัดฟันอยู่
Kanye นำเพลงนี้ไปรวมอยู่ใน mixtape “Get Well Soon” ก่อนที่จะปล่อยออกมาเป็นซิงเกิลแรกในปี 2003 ให้ทุกคนได้ฟังกันอย่างเป็นทางการและได้เสียงตอบรับที่ดี ทั้งยังทุ่มงบส่วนตัวถึง 40,000 เหรียญ (ประมาณ 1 ล้านบาท) เพื่อถ่ายทำ MV เพลงนี้ เมื่อค่ายเห็นความตั้งใจจริงของเขาจึงหันมาสนับสนุนการทำอัลบั้มอย่างเต็มที่ พอซิงเกิลที่สอง ‘Slow Jamz” ที่ feat. กับ Twista และ Jamie Foxx ปล่อยออกมา มันก็ดังแบบสุดๆ จนขึ้นไปถึงอันดับ 1 ของชาร์ท Billboard ในอเมริกาเป็นครั้งแรก
แล้วในที่สุดอัลบั้ม “The College Dropout” ฝีมือการโปรดิวซ์ของเขาเองก็วางจำหน่ายในปี 2004 โดยประสบความสำเร็จอย่างงดงามทั้งยอดขายถึง 4 ล้านกว่าก็อปปี้ทั่วโลก(และเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดของเขาจนถึงปัจจุบัน) เมื่อปีต่อมาเขาก็คว้าถึง 3 รางวัลจากเวที Grammy Awards ได้แก่ Best Rap Song จากเพลง “Jesus Walks”, Best Rap Album, และ Best R&B Song จากเพลง “You Don’t Know my Name” ที่เขาโปรดิวซ์ให้ Alicia Keys แถมอัลบั้มแรกยังได้รับการยกย่องจากนิตยสาร Rolling Stone ให้เป็นอัลบั้มยอดเยี่ยมแห่งทศวรรษ ส่วนนิตยสาร TIME ก็ยกให้เขาเป็นหนึ่งใน 100 บุคคลทรงอิทธิพลแห่งปี 2005 เลยทีเดียว เท่ากับว่า ผู้คนไม่ได้แค่ยอมรับเขาในฐานะแร็ปเปอร์ในวงการเพลง hip hop แต่ในฐานะคนสำคัญของวงการดนตรี
สาเหตุสำคัญที่ทำให้อัลบั้มประสบความสำเร็จก็คือ เนื้อหาที่แตกต่างจาก gangsta rap ที่โด่งดังในยุคนั้นที่ชอบพูดเรื่องแก๊ง ยา ปาร์ตี้ แต่พูดเรื่องทั่วๆ ไปในชีวิตคนอย่างเรื่องวัตถุนิยม , รายได้ , การศึกษา , ครอบครัว , และความศรัทธาในศาสนาแทน ผสมกับซาวด์จากแนวดนตรีหลากหลาย บวกกับฝีมือการทำเพลงอันยอดเยี่ยม และสไตล์การนำเพลง soul เก่าๆ มาเร่งสปีดเป็น sample ในเพลงที่เป็นจุดเด่นของอัลบั้ม จนมีศิลปินอื่นๆ ทำตามกันไปทั่ว Kanye เลยต้องพยายามหนีไปหาซาวด์ใหม่ๆ มาใช้ในอัลบั้มต่อมา
อัลบั้มที่สอง “The Late Registration” จึงกลับมาพร้อมซาวด์ที่แตกต่างจากชุดแรกและสดใหม่สำหรับวงการ hip hop ด้วยซาวด์จากเครื่องสายนานาชนิด ที่คราวนี้ Kanye ลงทุนจ้างวง orchestra ของจริงและโปรดิวเซอร์ที่เชี่ยวชาญการทำเพลงประกอบภาพยนตร์มาร่วมโปรดิวซ์อัลบั้มนี้โดยเฉพาะเพื่อให้ได้ซาวด์คุณภาพอย่างที่เขาต้องการ ผลก็คือ อัลบั้มนี้ประสบความสำเร็จไม่น้อยหน้าอัลบั้มแรกแม้จะเข้าสู่ยุคที่ยอดขายซีดีตกต่ำแล้วก็ตาม โดยมี Gold Digger เป็นเพลงฮิตถล่มทลายประจำอัลบั้ม แถมอัลบั้มนี้ยังพ่วง 3 รางวัลจาก Grammy คือ Best Rap Song, Best Rap Solo Performance, และ Best Rap Album ได้อีกสมัย นักวิจารณ์ต่างพากันชื่นชมทั้งการเลือกใช้ sample อย่างชาญฉลาด การใช้เครื่องสายที่สร้างสีสันได้ดี มีไอเดียใหม่ๆ เนื้อหาน่าสนใจและลุ่มลึกขึ้นกว่าเดิม
พอมาถึง “Graduation” อัลบั้มที่ 3 Kanye ก็สรรหาซาวด์ใหม่ๆ มาผสมผสานอีกครั้ง คราวนี้มีทั้ง electro, disco, synth pop, reggae, และ arena rock ทั้งยังใช้เครื่องดนตรีสังเคราะห์เยอะขึ้น , ใช้ sample น้อยลง , และ feat. ศิลปินรับเชิญน้อยลงด้วย แต่สิ่งที่น่าสนใจมากกว่านั้นก็คือ อัลบั้มนี้วางจำหน่ายในวันที่ 11 กันยายน ปี 2007 ซึ่งตรงกับวันวางจำหน่ายอัลบั้ม “Curtis” ของ 50 Cent ที่กำลังโด่งดังสุดขีดอยู่พอดี ทำให้สื่อต่างพากันสนใจว่าระหว่าง hip hop สไตล์ใหม่ของ Kanye กับ gangsta rap ของ 50 Cent ใครจะชนะ ผลก็คือ Graduation ทำยอดขายทิ้งห่าง Curtis ไปได้อย่างขาดลอย และขึ้นไปถึงอันดับหนึ่งของชาร์ท Billboard ตั้งแต่สัปดาห์แรก นับเป็นจุดจบของ gangsta rap และจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการ hip hop ที่ทำให้แร็ปเปอร์รุ่นหลังๆ อย่าง Drake, Lupe Fiasco, และ Wale สร้างสรรค์เพลงในแนวทางที่แตกต่างจากสมัยก่อนมากขึ้น
เมื่อ Donda West แม่ของ Kanye ที่ภายหลังเกษียณจากงานสอนหนังสือและมาเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเขาตั้งแต่ตอนออกอัลบั้มแรกได้เสียชีวิตลงเสียก่อน ตามด้วยการเลิกรากับ Alexis Phifer คู่หมั้นที่คบหามายาวนาน ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ได้กระทบกระเทือนจิตใจเขาอย่างรุนแรง จนทำให้ทิศทางของอัลบั้มที่ 4 อย่าง “808s & Heartbreak” ที่วางแผงในปี 2008 เปลี่ยนแปลงจากเดิมไปมาก ทั้งเนื้อหาที่เศร้าหมอง เสียงร้องที่ใช้เอฟเฟ็กต์ Auto-Tune เยอะๆ รวมถึงดนตรีที่เน้นเสียงสังเคราะห์หม่นๆ มีความเป็น R&B และ electro pop มากขึ้น ลดทอนรายละเอียดดนตรีลงอย่างชัดเจน ราวกับอัลบั้มนี้เป็นผลงานทดลอง แถม Kanye ยังร้องเพลงเยอะขึ้นแต่กลับแร็ปน้อยลง ส่งผลให้แฟนๆ หลายๆ คนไม่ชอบมัน เพราะอยากฟังเขาแร็ปเยอะๆ มากกว่า แต่ยังคงมีนักวิจารณ์หลายสำนักชื่นชมและมียอดขายที่ไม่เลวนัก
เมื่อ Kanye ทำอัลบั้มที่ 5 “My Beautiful Dark Twisted Fantasy” เขาดึงเอาจุดเด่นของอัลบั้มเก่าๆ ทั้งสไตล์เพลง soul, เพลง electro pop, เสียงสังเคราะห์ , เครื่องสายต่างๆ มาใช้ได้อย่างลงตัว ทั้งยังระดมทีมศิลปินมากมายมาร่วมงานครั้งนี้ ผลงานครั้งนี้ได้รับเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์อย่างคับคั่ง ขึ้นไปครองอันดับหนึ่งของ Billboard และทำยอดขายทะลุเป้า รวมถึงคว้ารางวัล “Best Rap Album” จาก Grammy ได้อีกครั้ง นับเป็นการกลับมาอย่างสมศักดิ์ศรี
หลังจากนั้น Kanye ได้ร่วมงานกับแร็ปเปอร์รุ่นพี่ที่สนิทสนมกันมานานอย่าง Jay Z ในอัลบั้มพิเศษ “Watch The Throne” ที่วางจำหน่ายในปี 2011 โดยมีเพลงดังอย่าง “Otis”, “Niggas in Paris”, “No Church in the Wild” และ “H.A.M.” เป็นต้น ซึ่งประสบความสำเร็จทั้งด้านยอดขายและคำชมจากนักวิจารณ์ตามคาด นอกจากนี้ทัวร์ Watch The Throne ยังทำสถิติเป็นทัวร์ที่กวาดรายได้มากที่สุดในวงการ hip hop อีกด้วย
เมื่อมาถึงอัลบั้มที่ 6 “Yeezus” ที่วางแผงในปี 2013 Kanye ก็ยังคงทดลองด้วยซาวด์ใหม่ๆ เช่นเคย คราวนี้มีทั้ง Chicago drill, acid house, dance hall, industrial, และ electro dance ที่ทำให้คาแร็คเตอร์ของอัลบั้มนี้ฟังดูเต็มไปด้วยพลังและรุนแรงผิดกับที่แล้วๆ มาอย่างชัดเจน และยังบรรจุมาในแพ็กเกจซีดีที่ minimalist สุดๆ ด้วยกล่องใส ไร้ภาพ artwork ใดๆ รวมถึงการโปรโมทที่น้อยจนผิดปกติเพื่อเน้นขายเพลงจริงๆ ตามที่ Kanye ตั้งใจไว้ แม้จะมีแฟนๆ จำนวนไม่น้อยปรับตัวไม่ทัน และบ่นว่าอัลบั้มนี้ฟังยาก แต่ Yeezus ก็ยังทำยอดขายได้ดี รวมถึงได้รับคำชมจากสื่อหลายสำนัก
Kanye ลงมือทำอัลบั้มที่ 7 ซึ่งเป็นอัลบั้มล่าสุดตั้งแต่ชุดก่อนหน้าเสร็จสิ้นในปี 2013 โดยมีการแก้ไข เพิ่มเติม ตัดทอน และรื้อเพลงในอัลบั้มอยู่หลายต่อหลายครั้ง เปลี่ยนชื่ออัลบั้มจากเดิม So Help Me God เป็น SWISH แล้วก็เปลี่ยนเป็น WAVES ก่อนที่จะสรุปเป็น “The Life of Pablo” เขาเปลี่ยนแปลง tracklist ที่ประกาศใน Twitter จนกระทั่งนาทีสุดท้าย แถมยังเลื่อนวันวางจำหน่ายจาก 11 ก.พ. เป็น 14 ก.พ. 2016 และให้ stream ฟังเฉพาะใน Tidal บริการ music streaming ของ Jay Z เป็นที่แรกก่อนที่จะวางจำหน่ายตามปกติในอีกหนึ่งสัปดาห์ให้หลัง ซึ่งครั้งนี้นักวิจารณ์เพลงให้คะแนนอัลบั้มนี้ไว้ไม่สูงนักด้วยความที่เพลงในอัลบั้มนี้ดูกระจัดกระจาย สับสน ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้หลายๆ เพลงจะเป็นเพลงที่ดีก็ตาม โดยมีเพลงอย่าง “No More Parties in L.A.” ที่ feat. กับแร็ปเปอร์ชั้นนำอย่าง Kendrick Lamar เป็นเพลงเด่น ซึ่งคงต้องรอดูกระแสตอบรับกันต่อไปว่าอัลบั้มนี้จะประสบความสำเร็จและเป็น “อัลบั้มที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิต ” จริงอย่างที่เจ้าตัวคุยไว้หรือไม่
Track 5: Kanye the CEO
Kanye ไม่ได้หยุดเพียงแค่การทำเพลงและแร็ป แต่เขายังทำธุรกิจด้วยการก่อตั้งค่ายเพลงของตัวเองชื่อว่า “G.O.O.D Music” ขึ้นมาในปี 2004 หลังจากที่อัลบั้มแรกวางจำหน่าย โดยเพียงแค่ผลงานอัลบั้มแรกของค่ายเพลงนี้ก็สร้างความฮือฮาได้ทันทีด้วยอัลบั้มสุดฮิต “Get Lifted” ของ John Legend ศิลปินเพลง R&B คุณภาพ ตามด้วยการทยอยออกผลงานอัลบั้มของ Common, Consequence, Big Sean, และ Kid Cudi ที่ดังเปรี้ยงปร้างไม่แพ้กัน ซึ่งเรียกได้ว่าหากไม่มีค่ายนี้ และไม่ได้ Kanye เป็นโปรดิวเซอร์ช่วยปั้น ศิลปินหน้าใหม่อย่าง John Legend, Big Sean, และ Kid Cudi คงไม่ประสบความสำเร็จขนาดนี้แน่นอน
ช่วงก่อนอัลบั้ม “My Beautiful Dark Twisted Fantasy” ของเขาวางขายในปี 2010 นั้น Kanye ก็โปรโมทด้วยการปล่อยเพลงที่เขาทำให้ดาวน์โหลดฟรีทุกวันศุกร์ในซีรีส์ที่ชื่อว่า G.O.O.D Fridays พ่วงด้วยเพลงที่ร่วมงานกับศิลปินคนอื่นๆ ในค่าย ซึ่งโปรเจ็คนี้เองทำให้เกิดโมเดลการตลาดรูปแบบใหม่ขึ้นในวงการดนตรี
และในปี 2012 เขาก็ได้ก่อตั้ง creative agency ชื่อว่า “DONDA” ตามชื่อแม่ของเขา โดยรับงานออกแบบหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์สั้น, ปกอัลบั้ม, MV, ออกแบบเวทีคอนเสิร์ต, หรือแม้กระทั่งวางแผนการตลาด ซึ่งสาเหตุหลักๆ ก็เพื่อที่จะตอบสนองไอเดียในการทำงานของเขาเอง
Track 6: Kanye the Designer
นอกจากความสามารถในด้านดนตรีแล้ว Kanye ยังมีฝีมือในการออกแบบเสื้อผ้าและรองเท้าไม่น้อยหน้าแฟชันดีไซเนอร์ชั้นนำของโลกเลยแม้ว่าเขาจะไม่ได้จบการศึกษามาทางด้านนี้โดยตรงและเริ่มช้ากว่าคนอื่นก็ตามที นั่นเป็นเพราะว่าเขาอยากเป็นดีไซเนอร์ก่อนที่จะอยากเป็นแร็ปเปอร์เสียอีก
ความผูกพันของ Kanye กับแฟชันเริ่มตั้งแต่ความชื่นชอบเสื้อผ้าสวยๆ มาตั้งแต่วัยเด็ก แต่เสื้อผ้าแบบที่เขาชอบมักจะมีราคาแพงเกินกว่าที่แม่จะซื้อให้ไหว เขาจึงคิดอยู่เสมอว่าหากมีเงินจะต้องซื้อเสื้อแบบที่ชอบมาใส่ให้ได้ เมื่ออัลบั้มแรกที่เขาโปรดิวซ์ให้ Grav เสร็จสิ้นในปี 1996 และได้รับเงินค่าจ้างมา ด้วยความคลั่งไคล้ในการออกแบบของ Ralph Lauren และแบรนด์ Polo เขาก็นำเงินที่ได้ไปซื้อเสื้อผ้ายี่ห้อที่ว่า รวมถึงสร้อยคอพระเยซูทองคำแบบที่เขาอยากได้ หลังจากนั้นเขาจึงใส่เสื้อผ้าของ Polo โดยเฉพาะสเวตเตอร์สีสดๆ และลายหมี “Polo Bear” ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Polo อยู่บ่อยๆ รวมทั้งสะพายกระเป๋าของ Louis Vuitton ไปไหนมาไหนด้วย จนเกิดเป็นลุคที่ผู้คนรอบกายจดจำได้ แม้ว่านั่นจะทำให้ทีแรกไม่มีเจ้าของค่ายเพลงไหนยอมรับเขาในฐานะแร็ปเปอร์ หรือรู้สึกว่าเขาเท่พอที่จะเป็นศิลปินเดี่ยว แต่เขาก็สามารถลบคำสบประมาทเหล่านั้นได้เมื่ออัลบั้มชุดแรกประสบความสำเร็จในปี 2004 และทำให้คนทั่วโลกได้รู้จักกับแร็ปเปอร์หน้าใหม่ที่มีลุคแตกต่างจากคนอื่นๆ อย่างชัดเจน ซึ่งเขาได้นำแรงบันดาลใจจากหมี Polo Bear มาออกแบบใหม่เป็นหมี “Dropout Bear” ในแบบของตัวเองและทำเป็นแมสคอตประจำตัวตามที่เราเห็นได้จาก artwork บนปกอัลบั้ม , MV, และเสื้อผ้าที่มีลายหมีตัวนี้ปะปนอยู่หลายครั้งในช่วงอัลบั้มแรกๆ
เพื่อสานต่อความฝันในวัยเด็ก ปีต่อมา เขาจึงประกาศว่ากำลังสร้างแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเองขึ้นมาโดยใช้ชื่อว่า “Pastelle” แต่ก็ไม่มีรายละเอียดใดๆ นอกจากนั้น จนในที่สุดต้องประกาศล้มเลิกโปรเจ็คไปในปี 2009 ทั้งที่ใช้ทั้งเวลาและลงทุนกับมันไปมากมายถึง 13 ล้านเหรียญฯ(ประมาณ 450 ล้านบาท) แถมยังเคยใส่เสื้อผ้าต้นแบบของ Pastelle ออกงานอยู่หลายครั้ง
หลายคนอาจไม่รู้ว่า Kanye เริ่มการเป็นดีไซเนอร์จากการออกแบบรองเท้า “The College Dropout” Nike Air 180 ในปี 2006 ที่เขาเอามาใส่เอง ไม่ได้วางจำหน่ายที่ไหน ตามด้วยรองเท้า Kanye West x Bape FS 001 ‘Dropout Bear’ Bapesta และ Kanye West x Reebok S. Carter
หลังจากที่คว้าไปแล้วท้ังหมด 10 Grammy จนเริ่มอิ่มตัว ในปี 2009 เขาก็หันมาโฟกัสกับงานออกแบบมากขึ้น โดยการเปิดตัวรองเท้า Air Yeezy ที่ร่วมออกแบบ Nike โดยทยอยวางขายทีละสี ได้แก่ “Zen Grey”, “Black/Pink (Blink)”, และ “Net” รองเท้าแต่ละคู่จะโดดเด่นด้วยองค์ประกอบต่อไปนี้ คือพื้นเรืองแสง, แถบ Velcro, เจาะรูบน upper,พิมพ์ลายตัว Y บนจุดต่างๆ เช่น toebox, upper, หรือแถบ Velcro, เป็นต้น ที่ทำให้หลายคนหลงใหลตั้งแต่แรกเห็น ซึ่งแม้ว่ากระแสช่วงแรกจะไม่ฮอตมากนัก แต่การที่ Kanye ใส่รองเท้าเหล่านี้ในหลายๆ โชว์ตั้งแต่ยังเป็น sample และยังไม่ออกวางขาย ทำให้พวกมันกลายเป็นรองเท้ายอดนิยมในที่สุด
เท่านั้นยังไม่พอ เขายังเปิดตัวรองเท้า Kanye West x Louis Vuitton ไปพร้อมๆ กันด้วย ซึ่งทำออกมา 3 รุ่น ได้แก่ “Don”, “Jasper” และ “Mr.Hudson” โดยรองเท้าแต่ละรุ่นจะออกแบบโดยอ้างอิงถึงเพื่อนๆ ของเขาเอง อย่างในรุ่น Don นั้นหมายถึง Don C เพื่อนซี้และผู้จัดการส่วนตัวของเขา และยังหมายถึงชื่อเล่นที่เขามักเรียกตัวเองในหลายๆ เพลงว่า “Louis Vuitton Don” ด้วย, รุ่น Jasper ก็มาจาก Ibn Jasper ช่างตัดผมและสไตลิสต์ประจำตัวที่ทำงานให้เขามายาวนานถึง 20 ปีแล้ว , ส่วน Mr. Hudson ก็คือชื่อของศิลปินชาวอังกฤษที่มาช่วยงานในอัลบั้ม “808s & Heartbreak” ของเขา และยังเป็นศิลปินในสังกัดค่าย G.O.O.D Music เช่นกัน
ด้วยชื่อชั้นของ Louis Vuitton ทำให้แต่ละคู่ใช้วัสดุต่างๆ ต้องดีเลิศ ไม่ว่าจะเป็นหนังแท้และหนังกลับเกรด premium ตรง upper หรือทองคำ 24k ที่หุ้มปลายเชือก และมีราคา retail ที่สูงมากเป็นประวัติการณ์ ไล่ตั้งแต่ 840-1,140 เหรียญฯ (ประมาณ 3-4 หมื่นบาท) ทั้งยังทำออกมาในจำนวนจำกัดสุดๆ บางรุ่นทำออกมาไม่ถึง 30 คู่ ทำให้ล่าสุดราคา resell ใน ebay อยู่ที่คู่ละแสนกว่าบาทเข้าไปแล้ว และด้วยราคา retail แพงมากขนาดนี้ทำให้ Kanye บอกว่าจะไม่ออกแบบรองเท้าให้กับ Louis Vuitton อีกแล้วเพราะอยากให้คนได้ใส่กันเยอะๆ มากกว่า
หลังจากนั้น Kanye ก็ลงทุนเข้าไปขอฝึกงานกับแบรนด์เสื้อผ้าชื่อดังอย่าง Gap และต่อด้วยที่ Fendi เพื่อศึกษาการออกแบบเสื้อผ้าอย่างจริงจัง เมื่อถึงปี 2011 เขาก็เปิดตัวคอลเล็คชันเสื้อผ้าผู้หญิงภายใต้ชื่อ “Dw by Kanye West” ในงาน Paris Fashion Week แม้เสียงตอบรับจากนักวิจารณ์จะไม่ดีนัก แต่ Kanye ก็ไม่ย่อท้อ หลังจากกลับไปทำการบ้านมาเพิ่ม เสื้อผ้าผู้หญิงคอลเล็คชั่นใหม่ของ Kanye ก็ออกแสดงในงานเดิม ในปี 2012 คราวนี้มันดูน่าสนใจและได้รับคำชมมากขึ้นอย่างชัดเจน
ในปีเดียวกันนี้ รองเท้า Air Yeezy II สี “Solar Red” กับ “Pure Platinum” ที่คราวนี้ใช้พื้น Air Tech Challenge II และได้รับการปรับปรุงดีไซน์ในหลายๆ ส่วนจากรุ่นแรกก็ขายหมดทั้ง 5,000 คู่ในแต่ละสีอย่างรวดเร็ว และแม้ว่าจะมีราคา retail ค่อนข้างสูงที่ 245 เหรียญฯ(ประมาณ 8 พันกว่าบาท) แต่พอ Nike ขายหมดก็มีคนเอาไปขายต่อใน ebay ถึง 4,000 เหรียญฯ (ประมาณแสนกว่าบาท) เลยทีเดียว การันตีความดังด้วยบรรดา fashionista และนักบาสเกตบอล NBA ที่พากันใส่เจ้ารองเท้ารุ่นนี้ลงเล่นในสนาม
ปี 2013 เสื้อผ้าคอลเล็คชั่นพิเศษสุด minimal จาก Kanye West x A.P.C. ก็ออกวางขาย โดดเด่นด้วยเสื้อยืดเปล่าสีขาว “Hip Hop T-Shirt” ที่ตั้งราคาสูงถึง 120 เหรียญฯ (ประมาณ 4 พันกว่าบาท) แต่เสื้อผ้าทั้งคอลเล็คชันกลับขายหมดเกลี้ยงจนเว็บของ A.P.C. ล่ม และ Jean Toitou เจ้าของและดีไซเนอร์ของ A.P.C. ถึงกับต้องชวน Kanye มาทำเสื้อผ้าคอลเล็คชั่นที่สองในปีต่อมา ซึ่งหลังจากการร่วมมือกันครั้งนี้ Kanye ก็หันมาใส่เสื้อผ้าที่เรียบง่าย แต่ดูดีมากขึ้น
ขณะเดียวกัน ดีลระหว่าง Kanye กับ Nike ก็ต้องจบลงในปี 2013 เนื่องจากตกลงเรื่องรายได้กันไม่ลงตัว เพราะ Nike ไม่ยอมให้ส่วนแบ่งรายได้จากการขาย Yeezy ให้ Kanye ตามที่เขาเรียกร้องโดยอ้างว่าเขาไม่ใช่นักกีฬา ทำให้เขาไม่พอใจ รองเท้า Air Yeezy II สี “Red October” ที่ควรจะวางขายตั้งแต่เดือนตุลาคม 2012 ก็ต้องถูกเลื่อนออกไป และ Kanye ก็หันไปเซ็นสัญญากับ Adidas ที่ยอมทำตามข้อเสนอของเขา อย่างไรก็ตาม Air Yeezy II “Red October” ที่หลายคนรอคอยก็เปิดให้สั่งซื้อออนไลน์ในปี 2014 แบบไม่ทันตั้งตัวโดยการประกาศแค่ใน Twitter ของ Nike เท่านั้น และขายหมดแทบจะทันที
พอเข้าสู่ปี 2015 Kanye ก็ทำให้คนทั้งโลกต้องฮือฮาอีกครั้งเมื่อเขาเปิดตัวเสื้อผ้าคอลเล็คชันใหม่ในสาย high fashion ที่ทำร่วมกับ Adidas ชื่อว่า “Yeezy Season 1” ที่มาแบบ unisex ใส่ได้ทั้งชายและหญิง เน้นความ minimal และการใช้งานจริง คุมด้วยสี earth tone และทรงที่ส่วนมากจะ oversized พร้อมกับเปิดตัวรองเท้าที่มีคนลือกันมากที่สุดอย่าง “Adidas Yeezy Boost 750” รองเท้าทรง mid-top ดีไซน์โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เสริมด้วยเทคโนโลยีการผลิตพื้นรองเท้าคุณภาพเยี่ยมอย่าง Boost ที่ Adidas แสนภาคภูมิใจ ตามด้วยการเปิดตัวรองเท้ารุ่นถัดมาอย่าง “Yeezy Boost 350” ในทรง low-top ที่ผู้คนต่างก็ให้ความสนใจไม่แพ้กัน และ “Yeezy 950” ที่กระแสค่อนข้างเงียบด้วยเหตุที่เป็นทรงรองเท้าบูทใส่ลุยแบบ duck boot ที่ดูเทอะทะและใส่ยากไปหน่อย บวกกับราคา retail ที่สูงกว่า 2 รุ่นก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทั้งเสื้อผ้าและรองเท้าเหล่านี้จะมีราคาแพงมาก แต่ก็ได้รับการตอบรับที่ดีเป็นส่วนใหญ่ ก่อนที่ Kanye จะส่งท้ายปี 2015 ด้วยการเปิดตัว “Yeezy Season 2” ที่ยังคงตอกย้ำสไตล์เสื้อผ้าแบบเดิม แต่มีโทนสีอ่อนลงเล็กน้อย
ล่าสุดในงาน New York Fashion Week เขาก็เปิดตัวเสื้อผ้าของ “Yeezy Season 3” ด้วยโลเกชั่นที่ฉีกความเคยชินเดิมๆ อย่าง Madison Square Garden เสื้อผ้าคอลเล็คชันนี้หลายตัวมีความสดใสมากขึ้นอย่างชัดเจนแต่ยังคงลุคดิบๆ แบบซีซั่นก่อนหน้าเอาไว้เช่นเคย นอกจากนั้นก็มีการเผยโฉมรองเท้ารุ่นใหม่อย่าง Yeezy 1050 ที่ยังคงมาในทรง duck boot แบบ Yeezy 950 ของคอลเล็คชันก่อน พร้อมกันนี้ยังถือโอกาสเปิดตัวอัลบั้ม The Life of Pablo ด้วยการเปิดคลอไปในงาน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีเพลง “FACTS” ที่เขาโจมตี Nike สังกัดเก่าอย่างเจ็บแสบอีกด้วย
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราจะได้เห็นวิวัฒนาการสไตล์การแต่งตัวของ Kanye อยู่เสมอเช่นเดียวกับการเติบโตของเขาในฐานะแฟชันดีไซเนอร์ชื่อดังคนหนึ่ง จากเดิมที่เป็นเสื้อสเวตเตอร์ Polo และ accessories แปลกๆ เปลี่ยนมาเป็นชุดสูทหรูๆ จนล่าสุดก็ออกแนวเรียบๆ ลุยๆ ทะมัดทะแมงยิ่งขึ้น เขาได้รับการชื่นชมด้านรสนิยมที่ดีในการ mix and match เสื้อผ้าระหว่างแนว high fashion กับ street fashion ได้อย่างลงตัว ทำให้วัยรุ่นหลายๆ คนหันมาแต่งตัวตาม และกระแสของ high fashion ทั่วโลกก็้เริ่มมีความเป็น street fashion มากขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คงต้องให้เครดิตกับทั้ง Virgil Abloh และ Ibn Jasper ที่คอยทำหน้าที่เป็นสไตลิสต์ส่วนตัวให้กับ Kanye มาโดยตลอด
Track 7: Kanye the Perfectionist
อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ผู้คนชื่นชม Kanye ก็คือ ความเป็น “perfectionist” ที่เต็มเปี่ยมในตัวเขา เพราะเขาจะไม่ยอมปล่อยงานที่ต่ำกว่ามาตรฐานจากที่ตัวเองตั้งไว้หรือมีตำหนิออกมาอย่างเด็ดขาด ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่ Kanye กำลังจะวางขายอัลบั้มแรกก็ดันมี mp3 ของอัลบั้มนี้หลุดออกมาก่อนหน้านั้น 1 เดือน และได้รับการวิจารณ์ในแง่ลบ แต่เขาก็พลิกวิกฤตเป็นโอกาสด้วยการกลับไปแก้เพลงใหม่ทั้งหมด รวมถึง remix และ remaster ใหม่ จนต้องเลื่อนวันวางจำหน่ายออกไป และเมื่ออัลบั้มเสร็จสมบูรณ์ มันก็ประสบความสำเร็จในที่สุด
เช่นเดียวกันกับตอนที่เขากำลังทำเพลง “Diamonds from Sierra Leone” สำหรับอัลบั้มชุดที่สอง กว่าเขาจะรู้สึกว่ามันดีพอก็ต้อง mix ไปถึง 14 รอบ แต่นั่นก็ยังไม่เท่าตอนที่เขาสั่งทีมงานแก้เพลง “Stronger” ในอัลบั้มชุดที่สามเกือบ 80 รอบก่อนที่จะมันจะเสร็จเรียบร้อย จึงไม่แปลกที่มีคนลือกันว่าเหตุผลที่ Pastelle ถูกยกเลิกไปน่าจะเป็นเพราะ Kanye ยังไม่พอใจในคุณภาพของดีไซน์เสียที
Track 8: Kanye’s Future
เราสามารถพูดได้ว่า Kanye ผ่านพ้นจุดสูงสุดของการเป็นแร็ปเปอร์มาแล้ว ทั้งยังได้รับการยกย่องจากนิตยสาร TIME ให้เป็นหนึ่งใน 100 บุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดเป็นครั้งที่สองในปี 2015 ที่ผ่านมาจากความสำเร็จที่เขาทำได้ในด้านแฟชันอีกด้วย แต่เขายังคงกระหายความสำเร็จใหม่ๆ จากเสื้อผ้าและรองเท้าแบรนด์ Yeezy คงไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่าต่อจากนี้ชายที่ชื่อ Kanye West จะงัดเอาผลงานแบบไหนออกมานำเสนออีก แต่มันจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เพราะทุกก้าวที่เขาเคลื่อนไหว ทุกเพลงที่เขาแร็ป ทุกประโยคที่เขาพูด เสื้อผ้าทุกชิ้นที่เขาใส่จะสร้างแรงสั่นสะเทือนบนโลกนี้เสมอ
reference:
wiki / biography / complex / chicagomag / youtube / capitalxtra / forbes / gq / sneakernews / highsnob
text by Pakazite