ในบรรดาศิลปิน street artist มากมายบนโลกนี้ “Futura” หรือ Futura 2000 คือชื่อหนึ่งที่เป็นที่รู้จักมาตั้งแต่ต้นยุค 1980s และยังคงสร้างสรรค์ผลงานเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งน้อยคนนักจะทำได้ ทั้งยังไม่จำกัดงานศิลปะของตัวเองไว้เพียงแค่สไตล์เดิมๆ หรือเทคนิคเดิมๆ จนทำให้เขากลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินรุ่นหลังและผู้คนทั่วโลก เราจึงอยากให้คุณได้รู้จักกับเขาผ่านเรื่องราวและภาพอันน่าทึ่งต่อไปนี้
Futura มีชื่อจริงว่า Leonard Hilton McGurr ซึ่งคนสนิทจะเรียกเขาว่า “Lenny” เขาเกิดในกรุงนิวยอร์ค เมื่อปี ค.ศ. 1955 โดยเป็นลูกคนเดียวในครอบครัวที่มีพ่อเป็นคนผิวขาว และแม่เป็นคนผิวดำ แต่เจ้าตัวก็ไม่เคยเอะใจใดๆ จนกระทั่งเมื่อแม่ของเขาเผยความจริงว่าเขาเป็นบุตรบุญธรรมเมื่อเจ้าตัวอายุ 15 ปี
ด้วยความช็อคและสับสนที่จู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน ทำให้หลังจากนั้นเขาต้องการอะไรบางอย่างมายึดเหนี่ยวจิตใจและค้นหาว่าตัวตน ของเขาคืออะไรกันแน่ เมื่อเขาได้เห็นภาพ graffiti ยุคแรกที่รายล้อมไปทั่วนิวยอร์คในช่วงนั้น (ปี ค.ศ. 1970) ทำให้เขาพบว่ามันคือหนทางที่จะแสดงตัวตนของเขาออกมาให้คนอื่นได้รับรู้ ศิลปินที่เป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้กับเขาก็คือ Stay High 149 ผู้เป็น graffiti writer ยุคบุกเบิกและมีชื่อเสียงในตอนนั้น เขาจึงตัดสินใจดำเนินรอยตาม street artist รุ่นพี่ด้วยการเริ่มสร้าง graffiti ดูบ้างและคิดชื่อ “Futura 2000” ขึ้นมาใช้เป็น tag ประจำตัว
ชื่อ “Futura 2000” นั้นมาจากรถยนต์ Ford Futura และภาพยนตร์ “2001: A Space Odyssey” ของ Stanley Kubrick เพราะเขาต้องการชื่อที่สื่อถึงอนาคตโดยที่เขาก็จินตนาการไม่ออกว่าโลกในปี ค.ศ. 2000 จะเป็นอย่างไร(ภายหลังเปลี่ยนมาใช้แค่ “Futura” เมื่อก้าวสู่ปี ค.ศ. 2000 ในที่สุด)
Futura (2000) ยอมรับว่าผลงาน graffiti ของตนในช่วงแรกนี้ไม่ค่อยดีนักด้วยความที่ยังหาตัวเองไม่เจอ โดยเขามักจะออกไปพ่นสเปรย์ตามรถไฟใต้ดินและกำแพงตึกในย่าน Manhattan, Queens, และ Bronx ร่วมกับเพื่อนๆ อันได้แก่ rapper/graffiti writer ชื่อ ALI (Marc André Edmond) และกลุ่ม Soul Artists ที่ ALI เป็นคนก่อตั้ง
ทว่าคืนหนึ่งในปี ค.ศ. 1973 ที่เขาและ ALI ออกไปพ่นขบวนรถไฟใต้ดินเก่าคันหนึ่ง เกิดเหตุระเบิดขึ้นจน ALI โดนไฟคลอก และได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเกือบต้องตัดแขนทิ้ง แม้ว่าร่างกาย Futura จะไม่เป็นอะไรเลย แต่จิตใจของเขาได้รับการกระทบกระเทือนไม่แพ้กันกับอาการของเพื่อนซี้ ทำให้เขาเข็ดขยาดการออกไปพ่น graffiti และตัดสินใจอำลาวงการตั้งแต่ยังไม่ทันมีชื่อเสียง เขาลองไปทำงานประจำเป็น messenger อยู่พักหนึ่ง และไปเป็นทหารเรืออยู่นานถึง 4 ปี และได้มาประจำการอยู่ที่อู่ตะเภาในสัตหีบ ก่อนที่จะได้รับจดหมายของ ALI ที่อาการดีขึ้นมากและอยากให้เขากลับมาทำงานศิลปะ
ในที่สุด เมื่อถึงปี ค.ศ. 1979 เขาก็กลับมาสร้างงาน graffiti ตามรถไฟใต้ดินและกำแพงตึกอีกครั้ง โดยเข้าร่วมกลุ่ม “Soul Artists of Zoo York” ที่ ALI ตั้งขึ้น อันประกอบด้วย graffiti writer และ skater มีฝีมืออีกหลายคน จน Futura เริ่มสร้างชื่อได้ด้วยสไตล์การพ่น graffiti ออกมาเป็นแบบ abstract ที่แตกต่างจากของศิลปินคนอื่นที่แม้จะพัฒนาความสวยงามและซับซ้อนของภาพมากขึ้นกว่าในยุคแรกๆ ของ graffiti แต่ก็ยังวนเวียนอยู่แต่กับการวาดเป็นตัวอักษร นอกจากนี้เส้นที่ Futura พ่นออกมาจะเรียวเล็กกว่าของคนทั่วไป ด้วยเทคนิคการคว่ำกระป๋องสเปรย์ที่เจ้าตัวคิดค้นเอง
ปี ถัดมา เขาเริ่มก้าวสู่หนทางใหม่ๆ บ้าง ด้วยการเพนท์สีบนผืนผ้าใบเป็นครั้งแรก ตามด้วยการจัดแสดงผลงานในนิทรรศการหลายต่อหลายครั้งตามคลับและหอศิลป์ต่างๆ เช่น ที่ the Mudd Club, Fashion Moda, PS1 เป็นต้น ต่อด้วยโชว์ live painting และได้รับอนุญาตให้เพนท์ผนังตึกอพาร์ทเมนท์ ซึ่งผลงานของเขามีส่วนทำให้ street art กลายเป็นที่ยอมรับในสายตาผู้คนทั่วไปมากขึ้นเรื่อยๆ และเขาก็ได้รับการชื่นชมในฐานะหนึ่งในผู้บุกเบิกเส้นทางใหม่ให้กับ street art
ในช่วงเวลาเดียวกันเขามีโอกาสได้ร่วมงานกับ The Clash วง punk rock ชื่อดังแห่งเกาะอังกฤษ ด้วยการวาด backdrop ให้กับวงบนเวทีคอนเสิร์ต Big Apple และ live painting ร่วมกับวงขณะแสดงสดใน European Tour แถมยังได้ feat. ในเพลง “Overpowered by Funk” ของพวกเขา ตามด้วยการออกแบบแผ่นพับ single “This is Radio Clash” ในปีเดียวกัน และออกแบบแผ่นพับอัลบั้ม “Combat Rock” เท่านั้นยังไม่พอ ต่อมาเจ้าตัวยังออก single “The Escapades Of Futura 2000” ที่คราวนี้จับไมค์แร็ปเองและ feat. The Clash อีกต่างหาก
เมื่อความนิยมของ street art ลดลงในช่วงกลางยุค 1980s สไตล์ของ Futura ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้งหลังจากที่เขานำเงินจากการขายภาพวาดได้ไปซื้อคอมพิวเตอร์และลองหัดใช้ Photoshop ซึ่งทำให้เขาก้าวสู่งานสาย graphic design และ character design มากขึ้นตั้งแต่ปี 1988 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม เขายังคงทยอยแสดงผลงานในนิทรรศการทั้งแบบเดี่ยวและกลุ่มทั้งในอเมริกาและ ยุโรปอย่างสม่ำเสมอแทบไม่เคยว่างเว้นในแต่ละปี
ช่วง 1990s Futura หันไป collab กับแบรนด์เสื้อผ้าของเพื่อนๆ อย่าง GFS, Subware และ Project Dragon ทว่าไม่ประสบความสำเร็จนัก แต่หลังจากนั้นก็มีผลงานที่โดดเด่นตามมาอันได้แก่งาน collab กับแบรนด์ sportswear/streetwear มากมาย เช่น Nike, Levi’s, A Bathing Ape, Stussy, Supreme, Vans, New Era, The North Face, Maharishi เป็นต้น จากนั้นเขาก็ก่อตั้งแบรนด์เสื้อผ้าชื่อว่า Futura Laboratories ที่เจ้าตัวรับหน้าที่ออกแบบเอง นอกจากนี้เขายังร่วมงานกับแบรนด์อุปกรณ์กีฬา เครื่องประดับ ของเล่น และสินค้าอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน รวมทั้งงานออกแบบภาพคาแร็คเตอร์ “Pointman” อันโด่งดังบนปกอัลบั้มของวง UNKLE ในปี 1998 และได้รับเชิญไปออกแบบขวด Limited Edition ให้คอนยัคแบรนด์ดังอย่าง Hennessy ในปี 2012 อีกด้วย
ความชื่นชอบในศิลปะและ street culture ของเขาได้ส่งต่อไปถึงคนใกล้ตัวเช่นกัน ลูกชายของเขา Timothy McGurr (13thWitness) ปัจจุบันก็ทำงานเป็น street photography ชื่อดังที่ร่วมงานกับ HYPEBEAST และ collab กับแบรนด์ streetwear อยู่บ่อยๆ ส่วนลูกสาว Tabatha McGurr ก็เป็นคอลัมนิสต์ให้กับ Married to the Mob และเคยเขียนคอลัมน์ The Harsh Truth ให้ Complex อีกด้วย เรียกว่าเชื้อไม่ทิ้งแถวจริงๆ
ปัจจุบัน Futura ในวัย 59 ปี ยังคงแข็งแรง เขาออกเดินสายโชว์ผลงานยังที่ต่างๆ ทั่วโลกและไม่เคยหยุดนิ่งที่จะสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ เท่ๆ ล้ำๆ ออกมาไม่ต่างจากความหมายของชื่อ “Futura” ที่แสดงถึงความล้ำหน้าอยู่เสมอ คงไม่เกินไปนักหากจะบอกว่าเขาเปรียบเสมือน “ตำนาน street artist ที่ยังมีชีวิต” และน่าติดตามว่าผลงานชิ้นต่อไปจะเป็นอย่างไร