หากจะพูดถึงวัฒนธรรม Street Culture สิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้ดนตรีฮิพฮอพหรือเครื่องแต่งกาย คงจะหนีไม่พ้นศิลปะ Graffiti ทีถือกำเนิดขึ้นมาในยุคเดียวกันกับวัฒนธรรมนี้ และเจริญเติบโตขึ้นมาพร้อมๆกัน จนในปัจจุบันงาน Graffiti กลายเป็นศิลปะแขนงหนึ่งที่มีผู้ให้ความสำคัญและหันมาลองทำงานแนวนี้กันมากขึ้น จนปัจจุบันมีศิลปิน Graffiti หลายคนที่กลายเป็นที่รู้จักและกลายมาเป็นผู้มีอิทธิพลต่อวงการศิลปะมากมายอาทิ Futura, Banksy, Kaws และอีกมากมาย
สำหรับประเทศไทยนั้นวงการ Graffiti เพิ่งเป็นที่ยอมรับเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ก็ถือว่าเป็นการพัฒนาไปในทางที่ดี เพราะมีศิลปินรุ่นใหม่ที่มีผลงานน่าสนใจเกิดขึ้นมากมายภายในเวลาไม่กี่ปีมานี้ และวันนี้เราจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับศิลปิน Graffiti ซึ่งถือว่าเป็นยุคแรกๆของเมืองไทยอย่าง Chun One ที่เริ่มต้นการวาด Graffiti มาตั้งแต่ยุค 2000 ต้นๆ จนในปัจจุบันเขาได้เปลี่ยนความหลงใหลนี้ของเขาเป็นงานอดิเรกที่สามารถสร้างรายได้เสริมให้กับตัวเองและครอบครัวได้อีกด้วย และที่สำคัญเขาจะเป็นหนึ่งในศิลปินที่จะมาร่วมออกแบบเสื้อครบรอบ 10 ปี ให้กับแบรนด์ SneakaVilla อีกด้วย มาทำความรู้จักตัวตนของเขาไปพร้อมกันผ่านบทสัมภาษณ์นี้กันได้เลย
เริ่มจากแนะนำตัวกันเล็กน้อย
สวัสดีครับ ผมชื่อชุน ชื่อในวงการคือ Chun One ผลงานของผมส่วนมากเมื่อก่อนจะเป็นการเขียน Tag และการวาดรูป Graffiti ทั่วไป แต่ด้วยอายุที่มากขึ้นปัจจุบันนี้จึงไม่ค่อยได้วาด Graffiti แล้ว เพราะตอนนี้ทำงานประจำอยู่ จึงได้หันตัวมาวาดรูปให้กับวงดนตรีแนว Punk หรือ Hardcore จากต่างประเทศเป็นงานอดิเรกรวมถึงเป็นรายได้เสริมด้วย
จุดเริ่มต้นของการวาด Graffiti
เริ่มมีความสนใจตั้งแต่สมัยมัธยมต้น ช่วงที่เราเล่นสเก็ตบอร์ดและเห็นลวดลายบนแผ่น deck บวกกับเราได้ดูวิดีโอการเล่นสเก็ตบอร์ดและนิตยสารต่างๆ ทำให้เราได้เห็นงานอาร์ตเวิร์คต่างๆของวงดนตรี และปกหนังสือ หรือปกอัลบั้มเพลง ทำให้เราเริ่มศึกษาเรื่อยมา ถ้าพูดง่ายๆคือการเล่นสเก็ตบอร์ดทำให้เราเริ่มสนใจทั้งดนตรีฮิพฮอพ หรือพั้งค์ร็อคทั้งหลาย และจึงเริ่มมาสนใจลวดลายต่างๆทีหลัง
วาดครั้ง Graffiti แรกตอนไหน
ตอนนั้นน่าจะอายุประมาณ 15-16 ปี โดยช่วงช่วงแรกๆก็เริ่มจากการวาดตามเขาไปมั่วๆ เพราะตอนนั้นภาษาอังกฤษเราก็อ่านไม่ออก ไม่รู้ว่าความหมายที่จะสื่อคืออะไร อาศัยว่าเวลาเจอรูปไหนสวยถูกใจเราก็จำมาแล้วเอามาวาดตามและศึกษาเรื่องลายเส้นและน้ำหนักสี รวมถึงประเภทของสี พอมาถึงช่วงมหาลัยจึงเริ่มมีเพื่อนชวนเข้ากลุ่มทำงาน Graffiti แบบจริงจัง ตอนนั้นถึงได้ศึกษาว่าต้องทำอย่างไร ต้องมีรูปแบบงานแบบไหน และจะเริ่มสร้างจุดเด่นให้กับตัวเองอย่างไร
สถานที่ชอบไปวาด Graffiti ในสมัยนั้น
ที่จริงก็ไม่ได้เจาะจงว่าจะเป็นสถานที่ไหน แต่ที่ไปเป็นประจำคงจะเป็นบริเวรหอศิลป์กรุงเทพ เพราะมันเป็นพื้นที่รกร้างและไม่มีคนดูแลในสมัยนั้น และยังอยู่ใจกลางเมืองเดินทางสะดวก ทำให้เราสามารถวาดรูปหรือพ่นกันได้อย่างสบายใจไม่ต้องกลัวว่าจะมีคนมาไล่หรือไปรบกวนใคร
ผลงานยุคแรกที่วาด
เป็นตัวหนังสือและตัวการ์ตูนบ้างเพราะเราถนัดการวาดแบบนี้ และยิ่งพอมารวมตัวกับกลุ่ม 666 ( Triple Six ) ก็เลิกงานเขียนตัวหนังสือไปเลยหันมาสร้างคาแรคเตอร์อย่างเดียว เพราะกลุ่มที่เราอยู่นั้นเน้นที่การวาดรูปคาแรคเตอร์เป็นหลังและแต่ละคนก็มีแนวทางที่ชัดเจนของตัวเอง
สไตล์ของ Chun One
ส่วนมากผมจะถนัดวาดตัวหนังสือที่เป็นแบบ Marker Tag หรือพวกตัวการ์ตูนที่ลายเส้นคล้ายกับตัวการ์ตูนญี่ปุ่น แต่ก็จะนำเอาวัฒนธรรมสตรีทอย่างพวกบีบอยหรือเพลงฮิพฮอพมาผสมผสานกัน ซึ่งทุกวันนี้สไตล์นี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของเราไปแล้ว เวลาลูกค้าเมืองนอกเขามาจ้างก็จะรู้ว่าเราเน้นวาดสไตล์นี้
ทุกวันนี้ยังพ่น Graffiti อยู่ไหม
ไม่ค่อยได้ทำแล้ว ทุกวันนี้แค่วาดรูปไปเรื่อยๆ เพราะเราไม่ได้คิดจะทำเป็นอาชีพตั้งแต่แรก เราเริ่มจากการวาดให้วงดนตรีที่เราชอบแบบฟรีๆ แล้วเริ่มสร้างพอร์ตให้ตัวเองว่างานเรามีสไตล์ประมาณนี้ และเอาไปนำเสนอเขาว่าคุณสนใจไหมถ้าสนใจจะวาดให้ฟรี วงแรกที่เราได้ทำงานด้วยคือวง Build and Destroy ซึ่งเป็นวงฮาร์ดคอร์พั้งค์จากเมือง ดีทรอยต์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเมืองดีทรอยต์นั้นมีคนฟังเพลงฮิพฮอพอยู่มาก แต่จะมีกลิ่นอายของความเป็นร็อคผสมอยู่ ซึ่งเป็นวงนี้ค่อนข้างจะมีชื่อเสียงในระดับหนึ่งทำให้คนเห็นงานเรามากขึ้นด้วย
มุมมองต่อวงการ Graffiti ไทยทุกวันนี้
เอาจริงๆผมไม่ค่อยได้เข้าไปคลุกคลีเสียเท่าไร แต่ก็รู้สึกว่ามันเติบโตขึ้นมาก ซึ่งเราก็รู้สึกดีใจว่าวงการมันไม่ได้ย้ำอยู่กับที่ และก็มีศิลปินหลายคนในปัจจุบันที่เราชื่นชอบ และมีศิลปินอีกหลายคนที่น่าสนใจเกิดขึ้นมาเรื่อยๆ
พัฒนาการของวงการ Graffiti
สมัยนี้คนหันมาวาดกันมากขึ้นเพราะด้วยสื่อและเทคโนโลยีต่างๆ ทำให้คนหันกลับมาสนใจการวาดรูปแนวนี้อีกครั้ง ซึ่งต่างจากสมัยเราที่ยังเป็นยุคอินเตอร์เน็ตความเร็วแค่ 56K อยู่ รวมถึงร้านขายอุปกรณ์ต่างๆ ก็มีมากขึ้น ทุกวันนี้พูดได้ว่าไม่ว่าใครก็สามารถเข้าถึง Graffiti จนทุกวันนี้มีศิลปินต่างชาติเข้ามาทำผลงานที่บ้านเรามากขึ้นด้วย
แล้วเมื่อเทียบกับยุคก่อน
ผมเริ่มต้นทำงานในยุคปี 2000 ซึ่งในยุคนั้นมีคนวาดกันน้อยมาก อาจจะเป็นเพราะการวาด Graffiti มันเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย และคนที่ชอบวัฒนธรรมนี้จริงๆเขาก็ไปทำอย่างอื่นซึ่งมันดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นเป็น DJ หรือเต้น B-Boy เขาไม่มีทางโดนจับ แต่สำหรับ Graffiti มันมีสิทธิ์โดนจับเพราะผิดกฎหมาย
ปัจจุบันนี้อยากจะกลับไปวาดอีกครั้งไหม
ส่วนตัวลึกๆแล้วเราก็ยังอยากวาดอยู่ตลอด เพียงแต่ว่าด้วยอายุและหน้าที่การงานปัจจุบันของเราไม่สามารถมีเวลาว่างขนาดนั้น คงทำได้เพียงวาดภาพประกอบหรือทำสติ๊กเกอร์เพื่อจะนำไปบอมพ์ที่ต่างๆเท่านั้น จริงๆแล้วเราเลิกมันไม่ได้เพราะเราก็ทำมาเยอะแล้วเพียงแต่คงไม่จริงจังเท่าเมื่อก่อน
Graffiti มีความโดดเด่นอะไรกว่าศิลปะ Street art อื่นๆ
เพราะเราเป็นคนชอบวาดรูปอยู่แล้ว แต่การทำ Graffiti นั้นมีความสนุกแตกต่างออกไป ซึ่งก็คือความตื่นเต้นที่ศิลปะแนวอื่นไม่มีเพราะมันเป็นสิ่งกฎหมาย และในการวาดแต่ละครั้งไม่ได้มีใครเชื้อเชิญเราเข้าไปวาดอยู่แล้ว เวลาที่เราได้ไปบอมพ์ได้ไปพ่นในสถานที่ที่เราไม่ควรไปเขียนก็เหมือนกับกลายที่เราปลดปล่อยตัวเอง แต่มีครั้งหนึ่งผมเขียนชื่อ ชุน เป็นภาษาไทย แต่ดันไม่ตรงกับเหตุการณ์ก่อการร้ายราชประสงค์ที่มีการวางระเบิดของกลุ่ม IRK ซึ่งตอนนั้นเราอยู่เมืองนอกด้วย พอเพื่อนส่งภาพมาเราก็ตกใจ แต่พอสักพักเขาก็รู้ว่าไม่เกี่ยว แต่เราก็ฝากบอกเพื่อนๆซื้อหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นเก็บ เพราะจริงๆตอนนั้นก็มีอีกคนหนึ่งที่โดนเหมือนเรา ซึ่งตอนนี้มันก็เป็นเรื่องตลก เพราะคนที่ไม่สนใจเก็ตีความไปต่างๆ นาๆ
การวาด Graffiti สามารถสร้างรายได้เลี้ยงชีพได้ไหม
ถ้าในต่างประเทศอาจจะได้ แต่สำหรับในประเทศไทยเราก็คงจะยากสักหน่อย เพราะคนบ้านเราเขาไม่ค่อยสนใจเรื่องศิลปะกันเท่าไหร่ เอาเข้าจริงลูกค้าของผมแทบทั้งหมดมาจากเมืองนอก ทั้งอเมริกา อังกฤษ ยุโรป แทบจะไม่มีคนไทยเลย ถ้าเป็นคนไทยก็จะเป็นเพื่อนๆกันที่เล่นดนตรีแนวนี้
โปรเจคในอนาคต
คงจะเป็นเรื่องเสื้อผ้าที่เรากำลังสนใจอยู่เหมือนกัน เพียงแต่กำลังหาเวลาที่เหมาะสมทำอยู่ แต่คงไม่ได้ทำ Graffiti หรืองานที่เราทำอยู่ไปใส่โดยตรง แต่อาจจะมาในรูปแบบของงานกราฟฟิคมากกว่า
แสดงว่า Graffiti ส่งผลต่อสไตล์การแต่งตัวของเรา
มีส่วนประกอบแน่นอน ดูได้จากงานต่างๆที่เราทำ ทุกตัวละครจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าในยุคที่เราชอบไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าของ Polo Ralph Lauren หรือ Tommy Hilfiger ซึ่งเราก็พยายามจะนำมาใส่ในงานของเราด้วย เพราะนี่คือความชื่นชอบและได้ศึกษาอย่างจริงจัง
มาร่วมงานกับ SneakaVilla อย่างไร
เริ่มจากรู้จักคุณบอลอยู่แล้วทาง Facebook ก็เลยได้มีโอกาสคุยกันมาสักพักแล้วว่าจะมาวาดรูปให้ จึงได้เริ่มคุยกันเรื่องคอนเซ็ปต์ต่างๆที่เราจะนำเสนอออกมา ซึ่งคอนเซ็ปต์ก็จะเป็นเลขสิบโรมันหรือตัวอักษร X ติดที่กระจกหน้าร้านสื่อถึงการครบรอบ 10 ปีของร้าน SneakaVilla แล้วรอบๆจะเป็นคนที่แต่งกายแนวสตรีทมายืนอยู่หน้าร้าน เหมือนมา Hang out กัน เพราะเรารู้สึกว่า สังคมของ Graffiti หรือฮิพฮอพนั้นมันผสมผสานกันอยู่ เราตั้งใจวาดให้เหมือนผู้คนมายืนรอซื้อของในงานครบรอบ 10 ปีของแบรนด์ และแอบสื่อถึงความเป็นไทยด้วยการใช้ช้างมาต่อคิวด้วย
ถ้ามีใครสักคนมาพูดว่าคนวาด Graffiti คือพวกมือบอนจะบอกเขาว่าอย่างไร
เอาจริงๆ มันก็เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายนั่นแหละ แต่สำหรับเราการวาด Graffiti เหมือนกับการที่เราได้มีพื้นที่เพื่อโชว์ผลงานของเรา เพราะสังคมยังไม่มีพื้นที่ให้เรา และงาน Graffiti ก็มีหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นการ bomb การวาด tag หรือแม้แต่การเล่าเรื่องราวต่างๆ ซึ่งบางคนก็ทำงานออกมาให้ถูกกฎหมาย เปรียบเทียบวงการ Graffiti กับวงการบาสเก็ตบอลก็จะเห็นว่า การเล่นบาสมีหลากหลาย ไม่ว่าจะระดับมหาลัย หรือจริงจังระดับ NBA แม้แต่การเล่นบาสแบบสตรีทข้างถนนก็มี ศิลปะก็มีความหลากหลายไม่แพ้กัน อยู่ที่ว่าคนจะมองมุมไหนเท่านั้นเอง
อยากฝากอะไรถึง Graffiti ยุคใหม่
ขอให้พัฒนาฝีมือกันไปเรื่อยๆ และพยายามหาสไตล์ของตัวเองให้เจอ เพราะทั่วโลกมีคนทำงานศิลปะแนวนี้นับล้านคน การที่เราจะโดดเด่นได้ก็ต้องพยายามมากกว่าคนอื่น หาลายเส้นหารูปแบบของตัวเองให้แตกต่างจากคนอื่น และที่สำคัญที่สุดคืออย่าท้อเพราะการที่จะไปถึงจุดสูงสุดไม่ใช่เรื่องง่าย และที่สำคัญคือต้องมีใจรักและมีความสุขกับงานที่ทำ
ติดตามผลงานของ Chun One เพิ่มเติมได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/ChunOneStudio/?fref=ts
Instagram : @kingchunone
Tumblr : http://chunsworld.tumblr.com/