#SneakTheStyle : ชวนคุณมาพูดคุยและทำความรู้จักกับตัวตนของสองหนุ่ม Liberate The People หนึ่งในกลุ่มศิลปินฮิปฮอปคลื่นลูกใหม่ที่น่าจับตามองมากที่สุดในเวลานี้ ด้วยแนวทางการทำเพลงที่แตกและโดดเด่นกว่าดนตรีฮิปฮอปทั่วไปที่เราคุ้นเคย ซึ่งเกิดจากการส่วนผสมที่ลงตัวของความเกรี้ยวกราดดุดันบนเนื้อเพลงที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นจากภาษาอันสวยงาม ที่คุณควรลองเปิดใจฟังและรู้จักกับพวกเขาให้มากยิ่งขึ้นผ่านบทสัมภาษณ์ที่กำลังจะได้อ่านต่อไปนี้
Liberate The People กลุ่มศิลปินฮิปฮอปที่มาพร้อมกับแนวทางการทำเพลงอันเป็นเอกลักษณ์ ด้วยสไตล์การร้องที่เกรี้ยวกราดดุดัน ซึ่งถูกนำมาใช้ถ่ายทอดเนื้อหาเพลงที่เต็มไปด้วยความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในชีวิตและสังคมที่พวกเราทุกคนต้องเผชิญ จากการรวมตัวของสองหนุ่ม นัท – Liberate P แร็ปเปอร์ผู้สร้างสรรค์ผลงานที่สั่นสะเทือนวงการเพลงบ้านเราเมื่อปีที่ผ่านมาด้วยเพลง “ประเทศกูมี” กับ จ๊ะ – Thudong ชายหนุ่มผู้มีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นศิลปินและส่งต่อพลังอันล้นเหลือของเขาให้แก่ผู้ฟัง ซึ่งการรวมตัวกันของทั้งสองกลายเป็นส่วนผสมอันลงตัวที่เหล่าผู้ฟังชื่นชอบ บวกกับพลังในการขึ้นแสดงบนเวทีที่สามารถสะกดผู้ฟังไว้ได้อย่างอยู่หมัด
และนี่จะเป็นครั้งแรกที่สองหนุ่ม Liberate The People จะมาพูดคุยถึงเบื้องลึกเบื้องหลังถึงจุดเริ่มต้นของวงและอุดมการณ์ที่พวกเขาตั้งใจจะสร้างสรรค์ผลงานสู่ผู้ชมที่ไม่เคยให้สัมภาษณ์ที่ใดมาก่อน
จุดเริ่มต้นของ Liberate The People
Liberate P : เป็นความบังเอิญที่ผมกับพี่จ๊ะอยู่บ้านใกล้กันและผมเคยได้ยินชื่อพี่เขามาก่อนแล้วว่าเป็นรุ่นพี่ของเพื่อนอะไรทำนองนี้ จนกระทั่งผมมีเฟสบุ๊คของพี่จ๊ะแล้ววันหนึ่งผมเห็นพี่เขาลงคลิปร้องเพลงซึ่งตอนนั้นผมอยากทดลองทำเพลงแร็ปที่มีท่อนว๊ากและการใช้เสียงแตกมาผสม แล้วเห็นผมพี่จ๊ะลงคลิปนี้พอดีเลยชวนเขาให้ลองมาทำเพลงด้วยกัน
Thudong : ในคลิปนั้นผมร้องเพลง ยื้อ ของ Pause คือก่อนหน้านี้นัทเขาเคยพูดมาสักพักแล้วว่าจะชวนเรามาทำเพลง แต่ไม่เคยเห็นเราร้องเพลงแบบจริงจังจนได้มาเห็นคลิปที่เราร้องเพงนี้ซึ่งตรงกับช่วงที่นัทกำลังอยากจะทำเพลงใหม่ที่ต้องการใช้เสียงประมาณนี้เข้ามาด้วย เลยได้มาทำเพลงแรกด้วยกันคือเพลง Kill Myself และก็ทำกันต่อมาเรื่อยๆ จนตอนนี้ก็ประมาณสามปีแล้ว
ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนก็ทำผลงานเพลงของตัวเองมาก่อนอยู่แล้ว
Thudong : ก่อนหน้านี้เราก็ไม่เคยทำเพลงจริงจังมาก่อน แต่เราเป็นนักร้องและฝึกร้องเพลงทุกแบบแต่ยังไม่มีวงหรือมีโอกาสเข้ามา ซึ่งเราก็เหมือนรอโอกาสตรงนี้อยู่เหมือนกันจนกระทั่งนัทมาชวนไปทำด้วย ที่เรากล้าพูดว่าเราเป็นนักร้องเพราะเราชอบร้องเพลงและพยายามฝึกมาตลอดเพราะผมมีความฝันอยากจะเป็นนักร้อง จนสุดท้ายก็มีโอกาศเข้ามาซึ่งผมเองก็ดีใจมาก
Liberate P : ส่วนตัวผมเริ่มจากฟังเพลงฮิปฮอปมาตั้งแต่เด็กยุคโจอี้บอย และผมก็ชอบและฝึกร้องแต่เพลงเร็วมาโดยตลอด จนมาถึงช่วงมัธยมต้นก็ได้มีโอกาสมารู้จักเพลงใต้ดินอย่าง ดาจิม และ Thaitanium แล้วก็ได้มาเริ่มเข้ามาอยู่ในสังคมของเว็บไซต์สยามฮิปฮอป ทำให้เริ่มแต่งเนื้อเพลงและมีเพลงของตัวเองตอนมัธยมปลาย แต่คนเริ่มมาจำได้จริงๆ ก็คือตอนที่ผมมาประกวด Rap is Now ซีซั่นแรก ซึ่งตอนนั้นผมก็มีเพลงที่เริ่มเป็นที่รู้จักแล้วคือเพลง OC(T)YGEN และหลังจากนั้นผมก็ทำเพลงสายการเมืองขึ้นเรื่อยๆ
ผลตอบรับจากเพลงแรก Kill Myself ที่ปล่อยออกมา
Thudong : มันเป็นอะไรที่พูดยากนะเพราะแนวเพลงที่เราทำถือว่าค่อนข้างใหม่ในบ้านเราตอนนั้น คือเมืองนอกเขามีมาสักพักแล้วกับเพลงฮิปฮอปที่มีท่อนร้องที่รุนแรงเข้าไป แต่คนฟังบ้านเรายังไม่ค่อยเข้าใจว่าสิ่งที่เราทำคืออะไร ซึ่งมันก็มีประเด็นสำหรับผมคือนัทเขามีชื่อเสียงอยู่แล้วในการทำเพลง แต่ผมเป็นใครก็ไม่รู้ที่เข้ามาทำเพลงกับเขาแล้วใช้วิธีร้องแบบนี้ มันเลยมีเสียงวิจารณ์ออกมาในทางลบจนทำให้ผมรู้สึกไม่ดีอยู่หลายเดือน แต่กระแสก็เริ่มดีขึ้นหลังจากที่คนเขาเริ่มเห็นการแสดงสดของเราที่มีพลังเยอะมากแตกต่างจากเพลงฮิปฮอปทั่วไป คนเขาเลยเริ่มยอมรับและเริ่มมีคนเปิดใจมากขึ้น แต่จุดที่คนยอมรับว่าผมจริงๆ คือตอนที่ไปออกรายการ The Rapper และไปร้องแบ็คอัพเพลง ซากคน ให้กับ Repaze หลังจากนั้นคนเขาก็ยอมรับผมว่าผมเป็นแบบนี้
จนถึงทุกวันนี้พวกคุณก็ยังยึดมั่นในแนวทางของตัวเองอยู่
Thudong : คือเรามองว่าทุกวันนี้แนวเพลงฮิปฮอปมันคล้ายกันไปหมด และตัวผมซึ่งเป็นคนทำเองก็เบื่อ เลยอยากนำเสนออะไรที่มันแปลกใหม่ ให้มันรู้สึกมีไดนามิกมีอารมณ์มากกว่าเพลงทั่วไป เรามองว่าจุดเด่นของวงเราคือเรื่องของอารมณ์ในการนำเสนอ ยกตัวอย่างเพลงรักทั่วไปเขาสามารถใช้อารมณ์และน้ำเสียงในการนำเสนอได้ แต่เพลงฮิปฮอปส่วนใหญ่เขาไม่ทำอย่างนั้นเพราะเน้นไปที่คำพูดมากกว่า การแสดงสดของพวกเราเลยมีความแตกต่างมากจากศิลปินคนอื่น
Liberate P : เพลงที่ปล่อยมาล่าสุดอย่างเพลง นาฬิกา ผมก็ยังคงใช้แนวทางเดิมอยู่ แต่เราพยายามเปลี่ยนเนื้อหาให้มีความเข้าใจง่ายขึ้น แต่ยังคงนำเสนอความก้าวร้าวออกไปเหมือนเดิม คือเพลงนี้เราตั้งใจให้เป็นเพลงรักที่ก้ำกึ่งกับการเมืองนิดๆ คือเราอยากพูดถึงการสูญเสียคนรัก แต่ก็ยังสามารถตีความไปถึงเรื่องนาฬิกาของเพื่อนที่ตายไปแล้วได้ด้วยเหมือนกัน
เหมือนว่าจากสิ่งที่คนอื่นไม่เข้าใจในตอนแรก กลายมาเป็นจุดขายของพวกคุณในเวลานี้
Liberate P : เหมือนว่าการร้องของพี่จ๊ะทำให้เราสามารถร้องเพลงในเมโลดี้ที่คนไทยคุ้นหูได้ เพราะท่อนร้องของพี่จ๊ะมีความเป็นไทยสูงเหมือนฟังเพลงไทยแร็ปที่เข้าใจง่าย แล้วมันก็เหมาะกับวัฒนธรรมการฟังเพลงบ้านเราที่เริ่มจากเพลงร็อคมาก่อนด้วย ทำให้มีหลายครั้งที่เราได้มีโอกาสไปเล่นในงานคอนเสิร์ตแนวร็อคและฮาร์ดคอร์ด้วย
Thudong : ส่วนมากคนที่มาตามเราที่สังเกตุดูคือคนที่มีโอกาสได้ไปดูเราเล่นสดมาแล้วประทับใจในโชว์ของเราจนกลายมาเป็นแฟนเพลง เห็นได้ชัดสุดคือตอนที่ได้ไปร้องร่วมกับ Retrospect ตอนคอนเสิร์ตหัวใจเสือดำ ที่คนที่มาในวันนั้นเขาไม่รู้จักพวกเราแน่นอน แต่พอหลังจากงานนั้นพวกเขามาเป็นแฟนเพลงเราเยอะมาก
ตอนคอนเสิร์ตหัวใจเสือดำพวกคุณมีโอกาสขึ้นไปเล่นได้อย่างไร
Liberate P : คือตอนแรกเขาติดต่อมาทาง Maiyarap และ Blacksheep ซึ่งทั้งสองคนนี้เขาทำเพลงเกี่ยวกับเสือดำอยู่แล้ว เลยมาชวนวงของเราไปเล่นด้วยเพราะสไตล์การร้องน่าจะถูกจริตกับคนที่มางานนี้ ซึ่งงานนั้นก็กลายเป็นเวทีใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเล่นมาเลย
รู้สึกอย่างไรบ้างที่มีโอกาสไปขึ้นเล่นร่วมกับวงร็อคชื่อดังระดับนั้น
Thudong : เรื่องความดีใจมันต้องมีแน่นอนอยู่แล้วเพราะเราฝันมาตลอดว่าอยากเป็นนักร้อง และยิ่งได้มีโอกาสไปขึ้นเวทีเดียวกับศิลปินระดับนั้น บนเวทีที่มีขนาดใหญ่มากๆ มีคนดูหลายพันคนส่งเสียงเฮให้กับเราทั้งที่เขาแทบจะไม่เคยฟังเพลงของเราเลย ผมว่ามันเป็นอะไรที่เกินฝันไปด้วยซ้ำ เวลาขึ้นแสดงผมพยายามที่จะเต็มที่ตลอด สมองและพลังงานที่มีผมใส่ให้หมดโดยที่ไม่สนเลยว่าคนดูจะมีมากขนาดไหน คือผมคิดว่าเราเป็นนักร้องถ้าเราไม่โชว์อารมณ์ออกไปให้คนดูได้รับรู้มันก็ไม่ต่างอะไรกับเกิดเปิดเทปฟังเพลงอยู่บ้าน
เท่าที่สังเกตมาผลงานเพลงของพวกคุณมักจะนำเสนอเนื้อหาที่ค่อนข้างจริงจังแตกต่างจางวงอื่นๆ
Thudong : เพลงส่วนใหญ่ของเราจะเน้นพูดเรื่องความจริงของชีวิต ว่าชีวิตของคนคนหนึ่งเราต้องเจอเรื่องแย่ๆ อะไรกันมาบ้าง
Liberate P : แต่เราจะพยายามตีความหมายออกมาให้ดาร์กกว่าเพลงทั่วไป พยายามสื่อออกมาให้ออกมาในความรุนแรงที่มากกว่าปกติ ทำให้วงเราไม่ค่อยจะมีเพลงที่เนื้อหาเบาๆ สักเท่าไร แต่ข้อดีของวงการแร็ปคือคนที่ฟังเพลงฮิปฮอปเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เขาฟังเพลงที่เนื้อหาก่อนเสมอ ถึงแม้เขาจะไม่เข้าใจสไตล์ของเราแต่เขาก็สามารถจับประเด็นได้ว่าเรากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ และผมเป็นคนที่ซีเรียสกับการแต่งเนื้อเพลงมากและจะไม่มีทางปล่อยให้มีเนื้อเพลงชุ่ยๆ ออกมา
การที่ทำเพลงที่มีเนื้อหาซีเรียสแบบนี้มีผลต่อภาพลักษณ์ของวงบ้างไหม
Liberate P : มีแน่นอนครับบางครั้งผู้จัดงานเขาไม่กล้าชวนพวกเราไปเล่นเพราะกลัวว่าจะไม่เข้ากับตีมงานของเขา พวกเราเลยไม่ค่อยมีโอกาสไปแสดงในงานที่แมสสักเท่าไร ส่วนมากจะเป็นงานเฉพาะกลุ่มมากกว่า ช่วงแรกงานของพวกเราส่วนมากจะได้ไปเล่นตามงานเปิดนิทรรศการศิลปะแทบไม่มีโชว์ตามผับเหมือนวงอื่นๆ ทำให้วงเราขาดความป๊อบไปค่อนข้างมากเหมือนกัน แต่เราก็มีความสุขดีเพราะต้องการให้มันออกมาเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้ว
อย่างช่วงปีที่แล้วที่นัทปล่อยเพลง ประเทศกูมี ออกมาแล้วมีกระแสแรงมากๆ ทางวงของคุณได้รับผลกระทบอะไรบ้างไหม
Liberate P : ช่วงตอนที่เพลงประเทศกูมี ปล่อยออกมาแรกๆ ผมเคยไปเล่นตามผับแล้วมีตำรวจมาสั่งให้เลิกให้ลงจากเวทีแต่พวกผมก็ยังฝืนเล่นกันจนจบ เรียกว่าคนจัดงานหน้าเสียกันไปเลย แล้วหลายครั้งที่พวกเราจัดคอนเสิร์ตก็จะมีพวกตำรวจนอกเครื่องแบบมาดูพวกเราบ่อยเหมือนกัน เรียกว่าชีวิตผมเปลี่ยนไปเลยเหมือนกันเพราะก็ได้มีงานที่ไปเล่นเกี่ยวกับการเมืองมากขึ้นด้วย
Thudong : ขนาดตัวผมเองไม่ได้ไปร้องเพลงนั้นยังได้ผลกระทบเลยเพียงเพราะผมอยู่วงเดียวกับนัท ก็มีคนมาตามสืบถามว่าผมเป็นใครมาจากไหน ทำอาชีพอะไร มาร้องเพลงกับนัทได้อย่างไร ทั้งที่ตัวผมเองไม่ได้มีส่วนกับเพลงนี้เลย
เคยมีเหตุการณ์ไหนที่คุณรู้สึกว่ารุนแรงเกิดขึ้นหรือไม่
Thudong : ถ้าหนักสุดต้องเป็นที่จังหวัดมหาสารคาม เหมือนเขาแกล้งส่งตำรวจมาตรวจร้านที่เรากำลังจะเล่นทำให้กำหนดการของเราจากขึ้นสี่ทุ่มต้องเลื่อนไปเป็นตีสอง และวันต่อมาร้านก็ปิดตัวลงทันที
Liberate P : ปกติเวลาตำรวจเขามาตรวจตามผับแบบนี้ ส่วนใหญ่เขาจะมาช่วงท้ายงานก่อนร้านปิด แต่เหมือนเขารู้ว่าเราจะเล่นเลยมาตั้งแต่สี่ทุ่มเลย แล้วไม่ได้มาแค่สิบนายด้วยนะแต่มากันทั้งหมดห้าสิบนายและทั้งหมดไม่ใช่ตำรวจในท้องที่แต่ส่งตรงขึ้นมามาจากกรุงเทพหมดเลย
การทำเพลงที่มีประเด็นละเอียดอ่อนแบบนี้ทำให้พวกคุณมีปัญหาอะไรกันบ้างไหม
Liberate P : เราทั้งคู่ก็ไม่ได้มีความคิดทางการเมืองที่ตรงกันหมดแต่เราคุยกันก่อนแล้วมากกว่าว่าวงเราจะนำเสนอเพลงประมาณนี้ ถึงผมจะทำเพลงการเมืองที่ดูเกรี้ยวกราดก็จริงแต่ผมไม่ได้ทำไปเพราะความคึกคะนอง แต่ผมทำในกรอบกฎหมายที่เปิดช่องให้สามารถทำได้ ซึ่งถ้าผมทำในกรอบที่ทำได้แล้วโดนอีกผมรู้สึกว่ามันก็ไม่ใช่ความผิดของเราแล้ว
Thudong : ส่วนผมเป็นคนที่อย่างไรก็ได้ ถ้ามันไม่ผิดผมพร้อมที่จะลุยด้วยเต็มที่ ผมเลยไม่มีปัญหาอะไรเลยไม่ว่านัทจะทำเพลงอะไร ตัวผมเองเคยเป็นทหารมาก่อนแต่ผมก็สามารถอยู่กับนัทได้โดยที่ไม่เคยมีปัญหาอะไรเลย เพราะผมมองความเป็นจริงมากกว่าว่าปัญหามันคืออะไร สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอะไร ไม่เคยใช้อารมณ์มาตัดสิน
ดูเหมือนว่าวงการแร็ปบ้านเราตอนนี้ก็เริ่มเปิดโอกาสให้พวกคุณนำเสนองานในแบบของตัวเองมากขึ้น
Liberate P : ถือว่าวงการเพลงฮิปฮอปไทยดีขึ้นมากเลยถ้าเทียบกับสมัยก่อนเวลาเราไปเล่นยังต้องออกค่ารถเองอยู่เลยถึงแม้มันจะเป็นงานฟรีก็ตาม แต่ทุกวันนี้ทุกอย่างมันกลายเป็นเงินหมดแล้ว ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจากหน้ามือเป็นหลังมือ อาจเพราะกระแสเพลงฮิปฮอปทั่วโลกทุกวันนี้มันกลับมาอีกครั้งด้วย
Thudong : ผมว่ามันวนกลับมาพร้อมกับสตรีทแฟชั่นในระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เพราะแฟชั่นกับฮิปฮอปเป็นสิ่งที่อยู่ด้วยกันมาตลอด โดยเฉพาะแฟชั่นสตรีทที่แตกมาจากวัฒนธรรมฮิปฮอปอีกทีนึง จึงเป็นจุดที่ทำให้เรามองว่านักร้องนักดนตรีจำเป็นต้องแต่งตัวด้วยไม่ว่าจะเป็นเพลงแนวไหนก็ตาม ถ้าไม่แต่งตัวก็เหมือนเราไม่ชัดเจนจะเป็นนักร้องในแนวนั้นๆ ต่อให้เราร้องเพลงชัดเจนขนาดไหนแต่ถ้าเราไม่นำเสนอตัวตนของเราด้วยมันก็ยังไปไม่สุดอยู่ดี การแต่งตัวมันเป็นปัจจัยหนึ่งในการนำเสนอผลงานเหมือนกัน
เร็วๆ นี้ Liberate The People จะมีผลงานอะไรออกมาให้พวกเราได้ชมกันอีกไหม
Thudong : ปีนี้น่าจะได้เป็นอัลบั้มเต็มของเราแน่นอนครับ น่าจะมีประมาณ 10 เพลงขึ้นไปด้วย เพราะตอนนี้เรามีเพลงที่เตรียมไว้ประมาณ 4-5 เพลงแล้ว ถ้าเสร็จแล้วน่าจะมีงานเปิดตัวอัลบั้มอีกทีครับ เพราะตอนนี้คนก็เริ่มรู้จักพวกเราแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแต่เปิดตัวผลงานเป็นชิ้นเป็นอันให้พวกเขาเห็น
Liberate P : คอนเซ็ปต์ของอัลบั้มก็จะเป็นการพูดเรื่องของชีวิตมนุษย์ แต่ยังคงจุดขายที่เนื้อหาเพลงจะต้องจริงจังเหมือนเดิม แต่ก็จะมีเพลงที่เนื้อหาฟังง่ายขึ้นเช่นอาจจะพูดถึงเรื่องความรักด้วยแทนที่จะพูดเรื่องการเมืองอย่างเดียว แต่ก็ยังต้องเป็นเพลงรักในแบบของเราด้วยนะคือเราพยายามที่จะแคร์ทั้งคนฟังและตัวเราเองด้วย เพราะเราก็อยากสร้างงานที่คนฟังเข้าถึงง่ายขึ้นแต่เราก็ไม่ต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเหมือนกัน
สุดท้ายนี้มีอะไรอยากจะฝากถึงเด็กรุ่นใหม่ที่กำลังมีความฝันหรือกำลังลงมือทำอะไรสักอย่างอยู่หรือไม่
Thudong : ผมอยากบอกว่าถ้าคุณอยากจะเป็นคุณก็ต้องทำ เพราะผมไม่เคยหยุดฝึกร้องเพลงเลยถึงแม้ว่าผมจะไม่มีวงก็ตาม ถ้าเราไม่ฝึกฝนตัวเองเราก็ไม่มีโอกาสที่จะสำเร็จแล้ว ดังนั้นเราเลยต้องพยายามให้มากกับสิ่งที่อยากจะทำ คือผมก็เตรียมพร้อมกับการรอคอยโอกาสที่จะเข้ามาอยู่เสมอ ถึงแม้โอกาสจะไม่เข้ามาผมก็ไม่เสียใจแค่ได้ร้องเพลงฟังคนเดียวผมก็มีความสุขแล้ว
Liberate P : ส่วนผมอยากจะบอกว่าอย่าไปท้อแท้ถ้าเราอยากจะทำเราต้องลุยกับมันให้เต็มที่ ผมเริ่มจากการทำเพลงคนฟังหลักร้อยจนทุกวันนี้คนฟังเพลงเราหลักแสนแล้ว คือถ้าคิดว่าของเราดีอยู่แล้วไม่ใช่ว่าเราไม่แคร์คนฟัง แต่เราแคร์ในเรื่องของคุณภาพเพลงมากกว่าเพราะเราไม่ดูถูกคนฟัง ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเด็กสมัยนี้เขาจะคิดเหมือนผมหรือเปล่า เพราะสมัยนี้เพลงแร็ปหาเงินได้มากกว่าแต่ก่อนเด็กสมัยนี้อาจจะไม่ได้มองเหมือนผมในตอนนั้นเขาอาจจะมองเป้าหมายถึงการมีชื่อเสียง แต่ถึงเป้าหมายคุณจะเป็นอย่างไรคุณก็ต้องพยายามรักษามันไว้ให้สำเร็จ
และทั้งหมดนี้คือเรื่องราวและความเป็นไปของสองหนุ่ม Liberate The People ถ้าหากคุณอยากรู้จักกับพวกเขาให้มากขึ้นกว่านี้สามารถติดตามพวกเขาได้จากชาแนล Liberate The People บนเว็บไซต์ Youtube ได้เลย นอกจากนี้คุณยังสามารถอ่านเรื่องราวของ #SneakaTheStyle คนอื่นๆ >>ได้นี่นี่<<
ขอขอบคุณ
Location : De Commune
Lighting : Tawatchai Tangasanawit