กระแสความนิยมของกีฬาเอ็กซ์ตรีมดูเหมือนจะกลับมาอีกครั้งในช่วงระยะหลังมานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสเก็ตบอร์ดที่ได้รับผลจากเทรนด์แฟชั่นแนวสตรีท รวมไปถึงสื่อหลักอย่างภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ที่มักจะมีเรื่องราวของกีฬาประเภทนี้นำเสนออย่างต่อเนื่อง ซึ่งในความจริงแล้วสเก็ตบอร์ดไม่เคยจางหายไปจากสังคมไทย และยังมีกลุ่มคนที่หลงใหลในความท้าทายของกีฬาชนิดนี้อยู่เสมอ
โดยวันนี้เรามีโอกาสที่จะได้ไปพูดคุยกับนักสเก็ตบอร์ดทีมชาติไทยวัยเพียง 21 ปี ที่เพิ่งได้รับการคัดเลือกเข้ามาเก็บตัวในฐานะนักกีฬาเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้เอง
สถานที่นัดพบของเราวันนี้คือลานสเก็ตของสมาคมกีฬาเอ็กซ์ตรีมแห่งประเทศไทยที่ตั้งอยู่ข้างกับสนามกีฬาแห่งชาติหัวหมาก ซึ่งทันทีที่พวกเราเดินทางไปถึงก็พบกับชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งเดินออกมาต้อนรับเราด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม พร้อมกับเสื้อยืดคอลเลคชั่นใหม่จาก SneakaVilla และกางเกงยีนส์ทรงกระบอกที่ดูทะมัดทะแมง แต่มีทรงผมสุดกวนและย้อมสีทองเด่นสะดุดตา และรองเท้าสเก็ตบอร์ดที่มีร่องรอยการใช้งานมาอย่างโชกโชน ซึ่งทักทายกันอย่างเป็นกันเองก่อนจะเข้าไปด้านในลานสเก็ตเพื่อใช้เป็นที่สนทนาของเราในวันนี้
แน่นอนว่าสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยเสียงอึกทึกที่ดังรบกวนการบันทึกเสียงอยู่บ้าง แต่นั่นก็แทนที่ด้วยบรรยากาศการสัมภาษณ์ที่ทำให้เราได้ดื่มด่ำกับอารมณ์ของกีฬาชนิดนี้อย่างแท้จริงเช่นเดียวกัน
หลังจากที่พวกเรานั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยเพื่อฆ่าเวลาและสร้างความคุ้นเคยกันประมาณครึ่งชั่วโมง ผมเริ่มสังเกตุได้อย่างหนึ่งว่า แม้เด็กคนนี้จะมีภาพลักษ์ที่ดูเกเรอยู่บ้างแต่ลักษณะการพูดคุยและตอบคำถามของเขากลับดูใสซื่อปราศจากการปรุงแต่งถ้อยคำให้สวยหรูเหมือนอย่างนักพูดหรือศิลปินที่โด่งดัง ซึ่งผมกลับชอบบรรยากาศการสนทนาที่เป็นกันเองแบบนี้อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
และต่อจากนี้คือเรื่องราวชีวิตจากปากของ “เจิม โสธิชัย รักษ์สำรวจ” นักสเก็ตบอร์ดทีมชาติไทยที่เขาเล่าให้พวกเราฟังอย่างหมดเปลือก
เริ่มต้นจากความไม่สมบูรณ์แบบ
ก่อนที่จะเริ่มอ่านบทสัมภาษณ์นี้เราอยากให้คุณลืมภาพของเด็กสเก็ตบอร์ดที่มีฐานะค่อนข้างดี หรือแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าจากแบรนด์สเก็ตชั้นนำอย่าง Supreme ไปเสียก่อน เพราะจุดเริ่มต้นของเจิมนั้นดูจะทุลักทุเลและห่างไกลจากภาพที่เราคุ้นตาเหล่านั้นอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
“ผมเริ่มเล่นสก็ตบอร์ดมาประมาณ 8 ปีแล้วครับ ตอนนั้นผมอยู่ที่จังหวัดสุราษฯ แล้วเห็นเพื่อนเขาเล่นกันดูน่าสนุกเลยขอลองบ้าง ครั้งแรกที่ขึ้นไปยืนคือล้มทำอะไรไม่ได้เลยครับ แต่โชคดีที่มีเพื่อนคอยช่วยสอนเรื่อยมา นั่นทำให้ผมรู้สึกว่ากีฬาชนิดนี้มันเล่นยากและท้าทายกว่ากีฬาชนิดอื่น เลยตัดสินใจขอที่บ้านซื้อแต่เขาไม่ยอมแล้วให้เหตุผลว่าจะเล่นไปทำไมให้เจ็บตัวเปล่าๆ แต่ด้วยความอยากมีแผ่นสเก็ตมากๆ เลยต้องพยายามเก็บเงินด้วยตัวเอง สมัยตอนมัธยมผมได้เงินค่าขนมแค่วันละสี่สิบบาท ผมเลยต้องประหยัดเงินแล้วเอาเงินจำนวนนั้นไปเสี่ยงโชคกับตู้ม้าแทน เชื่อไหมว่าจากเงินสี่สิบบาทผมเล่นจนกลายเป็นสองพันกว่าบาทแล้วนำไปซื้อสเก็ตบอร์แผ่นแรกจากรุ่นพี่ของเพื่อน”
เจิมพูดถึงอดีตเมื่อแปดปีที่แล้วด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มและน้ำเสียงติดตลก
“เชื่อไหมว่าสเก็ตบอร์ดอันแรกผมเล่นจนมันเรียบเหมือนเตารีดเลยนะ เพราะสมัยนั้นเราไม่มีเงินซื้อแผ่นใหม่ๆ บวกกับเราเล่นท่าอะไรไม่ได้มากเลยทำให้แผ่นไม่ถึงกับหักหรือพังเสียก่อน แต่ช่วงแรกที่ฝึกนั่นข้อศอกกับหัวเข่านี่แตกหมดเลย จนพ่อถามว่าไปทำประกันก่อนดีไหม”
“ฟังดูเหมือนว่าตอนนั้นทางบ้านจะไม่ค่อยเข้าใจและสนับสนุนคุณมากเท่าไร” ผมโยนคำถามใส่เขาต่อทันที
“ทางบ้านผมเพิ่งมาเปิดใจเมื่อสักประมาณสองปีที่ผ่านมานี้เองครับ คือช่วงที่ผมเริ่มจริงจังจนได้มาเก็บตัวเป็นนักกีฬาที่นี่”
เขาหยุดหายใจและเหมือนคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเริ่มเล่าต่อ
“ตอนนั้นที่บ้านผมมีปัญหานิดหน่อย พอเรียนจบมัธยมปลายแล้วผมต้องออกมาหางานทำแล้วหาเงินมาเล่นสเก็ตด้วยตัวเอง และมาได้งานเป็นเป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้าน Skate Cafe แถวราชเทวีซึ่งเป็นร้านเหล้าที่มีแลมป์สเก็ตอยู่กลางร้านเลย แต่เอาเข้าจริงก็ไม่มีเวลาเล่นเท่าไรหรอกเพราะผมทำแต่งาน อาจพอมีเวลาว่างจากงานก็ออกไปเล่นแถว 13 ห้างบางลำภู ช่วงชีวิตตอนนั้นลำบากครับ หาเงินมาได้ก็เอามาจ่ายค่าห้องเหลือพอกินขนมบ้างนิดหน่อย โชคดีที่ผมมีรูมเมทมาช่วยแบ่งเบาตรงนี้”
“ตอนที่เล่นสเก็ตแถวบางลำพูก็มีฝรั่งมาทักทายและให้ความสนใจตลอดครับ มีโอกาสได้เจอคนมากขึ้นเริ่มมีสังคมมากกว่าเดิม แต่แถวนั้นมันไม่มีอุปกรณ์อะไรเลยมีแค่ราวเหล็กกับขอบฟุตปาธ พอเริ่มเล่นได้ก็มีโอกาสออกไปเล่นที่อื่นบ้างครับ”
“ตอนนั้นคิดหรือยังว่าจะจริงจังกับการเล่นสเก็ตบอร์ดไปเพื่ออะไร” ผมถามเขาด้วยความสงสัยว่าสิ่งที่เขาทำนั้นไม่ต่างอะไรกับกิจกรรมหรืองานอดิเรกของคนทั่วไปเท่าไรนัก
“ตอนนั้นผมคิดว่าเล่นแล้วสนุกเหมือนเด็กทั่วไป ไม่คิดว่าจะมาถึงทุกวันนี้ได้หรอกครับ เพราะผมต้องทำงานหาเงินไปด้วย ไม่อยากรบกวนเงินพ่อแม่เพราะเราออกมาอยู่คนเดียวแล้วจะกลับไปขอเขาก็ไม่ดี แต่โชคดีที่มีพี่เขามาซัพพอร์ตผมเรื่องอุปกรณ์สเก็ต เพื่อแลกกับการที่ผมต้องทำวิดีโอเล่นสเก็ตให้กับเขา พอเริ่มได้ถ่ายวิดีโอผมก็เริ่มอยากชอบมันมากขึ้นเรื่อยๆ พยายามหัดเล่นท่าแปลกๆ และสนุกกับมันมากขึ้นเรื่อยๆ”
“สมัยที่ทำวิดีโอสเก็ตเคยเกือบมาเรื่องมีราวกับ รปภ. อยู่บ่อยครั้งเหมือนกัน มีครั้งหนึ่งผมไปถ่ายวิดีโอให้กับรุ่นพี่คนหนึ่งที่เขาช่วยซัพพอร์ดผมเรื่องเสื้อผ้าแถวสยาม แล้วมีเจ้าหน้าที่เข้ามาแย่งสเก็ตบอร์ดไปจากผม แต่ผมไม่ยอมเลยแย่งคืนมาแล้ววิ่งหนี อารมณ์ตอนนั้นเหมือนในหนังเลยครับ วิ่งขึ้นลงบันไดหาทางออกจากห้างให้เขาหาเราไม่เจอ โชคดีที่เราวิ่งหลบไปที่ร้าน Preduce เพื่อขอยืมโทรศัพท์โทรหาเพื่อน คือมันเป็นเรื่องที่ผิดกฎของเขาแต่เราก็อยากจะถ่ายวิดีโอก็อยากได้ภาพที่ดีและดูสตรีทเหมือนต่างประเทศเขาทำกันครับ”
“ตอนนั้นฝีมือเราดีถึงขนาดมีคนมาขอเป็นสปอนเซอร์แล้ว ?”
“ช่วงแรกผมมีพี่จิ “จิรวัฒน์ เปาอินทร์” เป็นสปอนเซอร์คนเดียวครับ แต่พอทำวิดีโอให้เขาเรื่อยๆ บวกกับเราเริ่มเดินสายแข่งขันตามงานต่างๆ ก็เริ่มมีเจ้าของร้านหรือเจ้าของแบรนด์มาเห็นเรามากขึ้น รวมถึงผลตอบรับจากวิดีโอที่ออกไปนั้นค่อนข้างดี เขาก็เลยเริ่มเอาของมาให้เราใช้ แต่หลายอย่างผมก็ขอเองครับอย่างเช่นพวกกระดาษทรายผมก็หน้าด้านเดินเข้าไปขอเขาเลยครับแลกกับการทำวิดีโอให้”
จากนักสเก็ตริมถนนสู่แคมป์เก็บตัวทีมชาติ
“จากการเล่นสเก็ตริมถนน ถ่ายวิดีโอโปรโมทสินค้าให้กับสปอนเซอร์ แล้วจุดผลิกผันที่ทำให้คุณมาเก็บตัวเป็นนักสเก็ตบอร์ดทีมชาติคืออะไร ?”
“เมื่อสามเดือนก่อนสมาคมกีฬาเอ็กซ์ตรีมมีการแข่งขันคัดเลือกเพื่อมาเก็บตัวทีมชาติพอดี ซึ่งจัดแข่งที่หัวหมากตรงที่เรานั่งคุยกันอยู่ตรงนี้แหละครับ ผมเลยลองไปลงแข่งสนุกๆ แต่ปรากฎว่าชนะเขาเลยให้มาเก็บตัวที่นี่ ตอนนั้นผมทำงานเป็นครูฝึกสอนเซิร์ฟบอร์ดอยู่ที่ Flow House แต่เมื่อมีโอกาสเข้ามาผมก็ขอพักงานตรงนั้นก่อนแล้วเก็บกระเป๋าย้ายมาอยู่ที่นี่เลย”
“ตอนที่เข้ามาที่นี่สมาคมเขาช่วยดูแลเราทุกอย่างเลยใช่ไหมทั้งเรื่องกินอยู่และการฝึกซ้อม”
เป็นคำถามที่ผมค่อนข้างลุ้นกับคำตอบพอสมควร เพราะผมเริ่มแอบหวังให้เด็กหนุ่มคนนี้มีชีวิตที่ดีกว่าที่ผ่านมา
“คือที่สมาคมตอนนี้เขาซัพพอร์ตเรื่องที่อยู่ให้เรา ก็แต่ผมต้องหาเงินมาใช้สำหรับกินข้าวเองอยู่ โชคดีที่ผมยังมีรุ่นพี่ที่คอยช่วยเหลือรวมถึงมีรายได้จากการทำวิดีโอและลงแข่งรายการอื่นบ้าง คือที่ทำไปทั้งหมดเพื่อที่จะหาเงินมากินข้าวและเล่นสเก็ตบอร์ดที่เรารักเท่านั้นเลยครับ คือชีวิตผมตอนนี้มีสเก็ตแค่อย่างเดียวเลย”
อาจจะเป็นคำตอบที่ไม่ตรงใจของเรานักแต่ก็ดูเป็นการเริ่มต้นที่ไม่เลว ผมจึงเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่นที่ยังคงคาใจ
“ทุกวันนี้ทางบ้านคงเริ่มเข้าใจในสิ่งที่คุณทำมากกว่าแต่ก่อนแล้วหรือยัง ?”
“ที่บ้านเขาเริ่มเข้าใจแล้วนะ ถึงแม้ตอนแรกเขาจะขอให้เราเลิกเล่นแล้วกลับไปทำงานดีๆ เหมือนคนปกติในวัยเดียวกัน แต่เพราะเราชอบชีวิตแบบนี้และเขาคงห้ามเราไม่ได้จริงๆ แต่ผมก็พยายามเลี่ยงที่จะไม่บอกเขานะเวลาเราเจ็บเพราะกลัวทางนั้นจะซ้ำเติมและขอให้เลิกเล่น”
“แล้วหลังจากมาที่มาเก็บตัวกสนฝึกซ้อมของเราเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน ?”
“หลังจากมาเก็บตัวระบบก็เปลี่ยนไปจากเดิม จากสมัยก่อนเราทำงานกลางคืนก็กินเหล้าเที่ยวเตร่ไปเรื่อย แต่เดี๋ยวนี้ทำไม่ได้แล้วเพราะต้องรักษาร่างกายให้สมบูรณ์ตลอดเวลา ต้องคอยเข้ายิมฝึกร่างกาย ตอนนี้หันมาเล่นโยคะด้วยเพื่อให้ร่างกายเรายืดหยุ่นขึ้น ก็ฝึกจากคลิปในอินเตอร์เน็ตเนี่ยแหละ จากเมื่อก่อนแค่เรื่องอบอุ่นร่างกายเรายังไม่เคยทำ ส่วนการฝึกซ้อมก็จะมีโค้ชมาแนะนำว่าเราควรพัฒนาจุดไหนบ้าง คือสเก็ตบอร์ดเป็นกีฬาที่ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว ดังนั้นแผนการซ้อมเลยไม่มีรูปแบบที่แน่นอน”
“แล้วเป้าหมายสูงสุดในการเล่นของเราคืออะไร ?”
ด้วยความสัจจริงผมค่อนข้างทึ่งในความหลงใหลในสเก็ตบอร์ดของเขามาก เพราะตลอดการสนทนา เมื่อพูดถึงการเล่นสเก็ตน้ำเสียงและแววตาของเขาดูเปี่ยมด้วยพลังงานเชิงบวกอยู่ตลอดเวลา แต่ผมก็แอบเป็นห่วงไม่ได้ว่า สำหรับประเทศไทยแล้วการที่คุณจะเล่นสเก็ตบอร์ดอย่างเดียวเพื่อเลี้ยงปากท้องดูค่อนข้างจะยากเหมือนกัน
“เป้าหมายในการเล่นสเก็ตของผมคืออยากให้ทุกคนหันมายอมรับกีฬาชนิดนี้ อยากออกไปเจอกับโลกภายนอกอย่างคนเก่งๆ ที่เขาเล่นกันอยู่ที่ต่างประเทศบ้าง อย่างผมเคยไปเล่นไกลสุดที่เมืองจีนแต่เป็นการไปถ่ายวิดีโอสเก็ต แล้วก็ไปแข่งที่ประเทศเพื่อนเราเราอย่างลาวครับ และเป้าหมายสูงสุดผมคืออยากมีเงินเดือนและหาเลี้ยงชีพได้จากสิ่งที่ตัวเองรักและทำอยู่ครับ ไม่อยากไปทำตัวเป็นภาระให้ใครลำบากครับ”
“อย่างผมมีไอดอลนักสเก็ตชาวไทยอยู่สองคน คนแรกคือพี่จิที่คอยสนับสนุนและเป็นตัวอย่างในการดำเนินชีวิตที่ดี และอีกคนคือพี่ “เก่ง จักรินทร์” ซึ่งเขาสามารถหาเงินเลี้ยงชีพได้จากการเล่นสเก็ตบอร์ดจริงๆ และสักวันผมอยากจะเป็นแบบพี่เขาครับ”
“สเก็ตบอร์ดเป็นครึ่งชีวิตของผม”
หลังจากที่พวกเราทั้งคู่ตัดสินใจพักเบรกดื่มน้ำดื่มท่ากันเล็กน้อย
“จากวันแรกที่เก็บเงินซื้อแผ่นสเก็ตแรกในชีวิตได้ เคยคิดอยู่ในหัวไหมว่าสเก็ตจะพาเรามาไกลได้ขนาดนี้”
“ตอนแรกเราอาจจะไม่ได้คิดครับ แต่ตอนนี้ผมคิดครับ คิดทุกวันเลย เคยลองนึกย้อนกลับไปว่าเรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร จากเงินสี่สิบบาทวันนั้นที่เราตัดสินใจเอาไปหยอกตู้ม้า ถ้าเราไม่ หรืออาจจะไม่ได้เล่น”
ผมเคยอยู่ในสังคมที่ไม่ดีมาก่อนครับ คือทั้งเหล้ายาทั้งหลายแหล่ ทุกวันนี้ย้อนกลับไปยังเสียดายเงินเลยครับไม่งั้นคงมีเงินเก็บไว้เล่นสเก็ตมากกว่านี้ ช่วงนั้นถือว่าเละเทะมากเงินที่จะส่งไปให้ที่บ้านก็ไม่ค่อยมี แต่นั่นทำให้ผมเห็นตัวอย่างที่ไม่ดีอย่างการที่เพื่อนโดนตำรวจจับโชคดีที่ผมเลือกอยู่กับสิ่งที่ผมรักนั่นคือสเก็ตบอร์ด เพราะมันพาชีวิตผมมาถึงจุดนี้ จุดที่มีคนยอมรับ ได้ออกมาเจอโลกใหม่สังคมใหม่ๆ เจอเพื่อนและใครต่อใคร ถือว่ามันเป็นครึ่งหนึ่งของชีวิตผมแล้วก็ได้ครับ
ยังไม่คิดดีกว่าครับ แต่ผมคิดแค่เพียงว่าผมคงเลิกเล่นสเก็ตไม่ได้ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นกีฬาที่ต้องใช้แรงและร่างกายตลอดเวลา ถึงแม้สักวันจะต้องหยุดเล่น แต่แค่ได้เข็นได้ไถไปก็โอเคแล้ว ก็เหมือนกับนักฟุตบอลหรือกีฬาทุกประเภทที่มีอายุการทำงานของร่างกาย แต่สเก็ตบอร์ดบางคนผมเคยเจอโปรอายุเกือบสี่สิบแล้วเขาก็ยังเล่นปกติ แต่อาจจะไม่ถึงขั้นผาดโผนแค่พอสนุกซึ่งผมก็อยากจะไปถึงจุดนั้น เล่นไปจนกว่าจะเล่นไม่ได้เลย
เราทั้งคู่หยุดคุยกับสักพักหนึ่งแล้วนั่งทอดสายตาไปที่ลานสเก็ตเบื้องหน้า ที่เหล่าสเก็ตเตอร์หลายคนกำลังวาดลวดลาย บางคนอาจจะมาที่นี่เพื่อเล่นสเก็ตบอร์ดเป็นกีฬา บางคนอาจจะแวะมาเพื่อพบปะเพื่อนฝูง และบางคนคงมีความฝันเช่นเดียวกับที่เจิมมี
“ทุกวันนี้คนทั่วไปเขาหันมาสนับสนุนให้ลูกเล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีมมากขึ้นกว่าสมัยเราหรือเปล่า ?”
ผมถามขึ้นเพราะเหลือบไปเห็นเด็กตัวน้อยวัยไม่เกินสิบขวบกำลังถือแผ่นสเก็ตบอร์ดเดินผ่านหน้าเราไป
“ต่างจากเราเยอะมากเลยนะ สมัยที่ผมเริ่มต้องไปหาวิดีโอมาดูมาศึกษาเองตลอด ไปถามเพื่อนนู่นนี่นั่น หาเงินมาซื้อแผ่นไม่มีใครสนับสนุน เดี๋ยวนี้พอสเก็ตเข้ามาถึงทุกคนกลายเป็นกีฬา มีหนังมาซัพพอร์ตก็มีคนยอมรับมากขึ้น พ่อแม่เขาก็ซื้อแผ่นมาให้ลูกดเขาฝึกเล่น บางทีก็จ้างคนมาสอนจริงจังเลย ต่างจากสมัยเราที่ต้องจำกันเองแลกเปลี่ยนกับเพื่อน”
“อย่างที่นี่ก็เห็นมีเด็กมาเล่นเยอะส่วนใหญ่ก็ปะปนกันไป ไทย ฝรั่ง ญี่ปุ่น ซึ่งพ่อแม่เขาสนับสนุนพามาซ้อมเองเลย ผมนี่เวลาไปแข่งพ่อแม่ผมยังไม่เคยมาดูเลย ล่าสุดผมเล่นท่าหนึ่งที่ฝึกไว้ได้เลยเอาวิดีโอให้พ่อดูยังใช้ให้ไปทำประกันอยู่เลยครับ”
สิ้นประโยคเราทั้งสองก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน
“แล้วเคยมีช่วงเวลาที่ท้อบ้างหรือเปล่า ?”
“เคยสิครับ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมไม่เหลืออะไรเลย ตอนนั้นผมไม่อยากขอเงินพ่อแม่ ต้องทำงานเลี้ยงตัวเองตอนแรกๆ เวลาเลิกงานเดินกลับห้องก็คิดว่า เราจะอยู่ไปเพื่ออะไร อนาคตเราจะทำอะไร เราจะหาเงินซื้อข้าวกินไปวันๆแบบนี้หรอ เลิกเล่นดีกว่าไหมไปหางานดีๆ ทำแบบพ่อบอกดีไหม แต่มันก็เป็นช่วงหนึ่งที่เราเคยท้อ แต่พอเรามานั่งคิดว่าเป้าหมายของเรามันอยู่ไกลกว่านั่น เราอาจจะท้อได้แต่ท้อแค่ชั่วโมงเดียวก็พอแล้ว เพราะสิ่งที่เราฝันมันยังต้องอยู่กับเราไปอีกหลายปี โชคดีที่มีพี่ๆ ที่เล่นสเก็ตด้วยกันเขาคอยสอนเรื่องการใช้ชีวิต เพราะเขาก็ผ่านเรื่องราวกันมาเยอะ ซึ่งผมก็นำมาปรับใช้ในแบบของเรา”
“ในฐานะที่วันนี้คุณเองก็ถือเป็นโปรสเก็ตคนหนึ่งแล้ว มีอะไรอยากจะฝากถึงคนที่กำลังอยากเล่นสเก็ตหรือมีความฝันอะไรแบบเดียวกันคุณบ้างหรือเปล่า”
“อยากให้คิดน้อยลงครับ คืออย่าคิดเยอะเกินไปจนกลัวและไม่กล้าทำ อะไรที่เราไม่เคยได้ลองทำเราก็จะไม่รู้จักมันจริงๆ และที่สำคัญคือห้ามท้อครับ กว่าผมจะเล่นได้ถึงจุดนี้ผมเล่นมาทุกวันไม่ใช่เก่งแค่วันเดียว กว่าเราจะโตมายังใช้เวลาหลายปีสเก็ตก็เหมือนกันครับ บางคนอาจจะมีพรสวรรค์เป็นเร็วกว่าคนอื่นแต่ผมไม่มี ผมมีแต่พรแสวงด้วยตัวเองอย่างเดียว และอีกหนึ่งสิ่งคืออย่าเขินอายใครทั้งสิ้น เพราะทุกสิ่งที่ทำเราได้กับตัวเองเราจะไปแคร์คนอื่นที่มองเราไปเพื่ออะไร”