ในช่วงประมาณต้นของปี 2000 เป็นยุคที่ดิจิทัลเข้ามามีบทบาทอย่างมากในวงการถ่ายภาพ ในช่วงนั้นเป็นช่วงที่กล้องดิจิทัลออกวางจำหน่าย การมาของกล้องดิจิทัลเปิดโลกและเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปสามารถเรียนรู้และใช้อุปกรณ์อย่างกล้องถ่ายรูปกันจนไม่ใช่เรื่องยาก ด้วยข้อได้เปรียบหลากหลายประการ อาทิเช่นสามารถเห็นภาพได้เลยหลังจากถ่าย ตัดกระบวนการที่สุดแสนจะยุ่งยากอย่างการล้างฟิล์มและอัดภาพออกไป รวมถึงสามารถบันทึกความทรงจำลงแผ่น Memory Card ได้เป็นจำนวนมากกว่าฟิล์มหลายร้อยเท่า จนทำให้ร้านค้า บริษัทผู้ผลิตฟิล์มและกล้องฟิล์ม ประสบปัญหาตั้งแต่มียอดขายตก ปิดตัวลง เลิกผลิตและถูกเขี่ยออกจากตลาดรายหลายภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี
น่าแปลกใจที่ช่วงสองถึงสามปีมานี้ “กล้องฟิล์ม” เริ่มกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งในกลุ่มผู้รักการถ่ายภาพ หรือเป็นเพราะกาลเวลาก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเทคโนโลยีดิจิทัลยังไม่สามารถทดแทนมนต์เสน่ห์บางอย่างบนแผ่นฟิล์มได้ และเป็นเหตุให้หนุ่มสาวยุคใหม่จำนวนมากเริ่มหันกลับไปจับกล้องฟิล์มอีกครั้ง จนกลายเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่น่าจับตามองในขณะนี้
แต่เชื่อว่าหลายคนที่กำลังก้าวเข้ามาสู่วงการนี้น่าจะมีคำถามว่า “ควรจะเริ่มต้นอย่างไร ?” หรือ “จะซื้อกล้องตัวไหนดี ?” ซี่งเป็นปัญหาโลกแตกเพราะกล้องฟิล์มนั้นถูกแบ่งแยกย่อยเป็นหลายประเภท ทั้ง SLR, Rangefinder และ Point & Shoot ซึ่งถ้าหากจะให้แนะนำว่าควรเริ่มต้นด้วยกล้องอะไรดี เราคงจะแนะนำกล้อง Point & Shoot หรือกล้องคอมแพ็ค ที่ง่ายต่อการใช้งานรวมถึงมีแฟลชที่จะช่วยให้คุณไม่พลาดโอกาสบันทึกจังหวะสำคัญ แต่น่าเสียดายที่ปัจจุบันนี้ราคากล้องคอมแพ็คฟิล์มถูกปั่นราคาขึ้นไปตามกลไกของตลาด ทำให้การเลือกกล้องสักตัวมาเป็นอาวุธคู่ใจไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป
วันนี้เราจึงขอพาคุณไปพบกับกล้องคอมแพ็คฟิล์ม ซึ่งถูกคัดสรรค์มาแล้วว่าคู่ควรกับการเสียเงินมากที่สุด ทั้งหมด 10 ตัว โดยได้รวบรวมข้อมูลทั้งหมดเท่าที่จะหาได้ รวมถึงประสบการณ์และภาพตัวอย่างจากผู้ใช้งานจริง เพื่อให้มั่นใจว่านี่คือกล้อง point & shoot ที่คุณควรหาโอกาสใช้งานมันสักครั้งในชีวิต
Contax T2 (1990)
หากจะพูดถึงกล้องคอมแพ็คที่ประสบความสำเร็จสูงสุด คงเป็นไม่ได้ที่จะขาด Contax T2 สุดยอดกล้อง point & shoot แห่งยุค 90s ซึ่งเป็นที่ยอมรับในหมู่ช่างภาพทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่น ด้วยเลนส์ Carl Zeiss Sonnar 38mm f/2.8 ที่เปี่ยมคุณภาพ สามารถเก็บรายละเอียดและให้โทนสีได้ตามแบบฉบับของ Carl Ziess นอกจากนี้ยังเป็นกล้องที่ดีไซน์ออกมาได้อย่างลงตัว แม้ว่าจะไม่ได้เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีล้ำสมั้ย แต่ทุกส่วนถูกออกแบบมาการใช้งานอย่างแท้จริง เริ่มจากการปรับรูรับแสงด้วยการหมุนวงแหวนหน้าเลนส์ ปุ่มชดเชยแสงที่ถูกแยกออกมาอยู่ในตำแหน่งที่ปรับได้สะดวก รวมทั้งสามารถกำหนดระยะโฟกัสด้วยตนเองได้ นอกจากนี้ภายในช่องมองภาพ (viewfinder) ยังบอกรายความเร็วชัตเตอร์ที่กำลังใช้อยู่ ทำให้แทบไม่ต้องละสายตาจากช่องมองภาพขณะถ่ายเลยแม้แต่นิดเดียว
ด้วยความสำเร็จของกล้อง Contax T2 ทำให้กล้องรุ่นนี้เปรียบเหมือนสัญลักษณ์ของแบรนด์ Contax และถูกผลิตรุ่นพิเศษออกมาเพื่อเฉลิมฉลองการครบรอบต่างๆ ของแบรนด์ รวมไปถึงยังมีสีให้เลือกใช้อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Titanium black, Jet black, Titanium Gold ซึ่งแต่ละสีจะมีราคาที่แตกต่างกันออกไปตามความหายาก และความต้องการของนักสะสม หรือแม้แต่รุ่นธรรมดาของ Contax T2 ก็ราคาทะลุสองหมื่นบาทไปเรียบร้อยแล้ว
ราคาปัจจุบันบนเว็บไซต์ Ebay 19,000 – 40,000 บาท
Comment & Picture by Owner of T2
Binn Buameanchol | Photographer | @dogshakesdog
ผมได้เป็นเจ้าของกล้อง Contax T2 ตัวแรกน่าจะช่วงปี 2008-2009 แต่ก่อนผมใช้กล้อง Contax G2 ถ่ายงานประจำ แล้วมันชอบมีปัญหาโฟกัสไม่เข้าบางครั้ง เลยได้กล้อง Contax T2 นี่หละใช้แก้เขินอาการนี้ไปได้ จุดเด่นของกล้องนี้คือเลนส์ที่มีคุณภาพ ผลลัพธ์ออกมาประทับใจเรามากที่สุด แต่ก็แลกกับขนาดกล้องที่ใหญ่และหนักเกินไปถ้าเทียบกับ Contax T3 หรือกล้อง Compact ตัวอื่น
Nikon 35Ti (1993)
มาต่อกันด้วยกล้องจากแบรนด์ยักษ์ใหญ่จากแดนอาทิตย์อุทัย ที่ไม่พลาดจะมีกล้องพรีเมี่ยมคอมแพ็คเป็นของตัวเอง โดยกล้อง poin & shoot ที่ได้รับการกล่าวถึงของ Nikon คือรุ่น 35Ti ซึ่งถูกวางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อปี 1993 โดยถูกวางไว้เป็นกล้อง และ โดยจุดแข็งของกล้องตัวนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องของดีไซน์อันย้อนยุค ด้วยการใช้แผงหน้าปัดด้านบนกล้องซึ่งทำหน้าที่เป็นหน้าจอแสดงผลและเซ็ตอัพค่าต่างๆ ของตัวกล้อง ซึ่งเป็นเสน่ห์ที่พบได้ในกล้อง 35Ti และ 28Ti เท่านั้น ซึ่งเจ้าหน้าปัดด้านบนนี้ถูกผลิตและออกแบบโดย Seiko แบรนด์นาฬิกาชื่อดังสัญชาติเดียวกัน บอดี้ของกล้องผลิตจาก titanium หรูหราและมีน้ำหนักเบา แต่ขนาดอาจจะใหญ่ไปสักหน่อยสำหรับการเป็นกล้องคอมแพ็ค
ในส่วนของภาพกล้องตัวนี้จะมาพร้อมกับเลนส์ Nikkor 35 f/2.8 ให้ภาพตามมาตรฐานของกล้อง Nikon ทั่วไป ไม่แพ้กับกล้อง SLR ขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังมีโหมด panorama มาให้เล่นอีกด้วย แต่ระบบ panorama ของกล้องตัวนี้เป็นหนึ่งในจุดที่ผู้ใช้หลายคนตำหนิ เพราะความจริงแล้วมันคือการครอปฟิล์มขนาด 35mm ให้มีขนาดแคบลงและกลายเป็น panorama แบบปลอมๆ นั่นเอง
ราคาปัจจุบันบนเว็บไซต์ Ebay 13,000 – 24,000 บาท
Comment & Picture by Owner of 35Ti
Sergio Del Amo | Photographer | @delamostudio
เห็นกล้องตัวนี้มาตั้งแต่เด็ก แต่พึ่งได้เริ่มหยิบมาใช้งานเมื่อปี 2013 กล้องตัวนี้เป็นกล้องตัวเก่าของพ่อที่ใช้มาตั้งแต่ปี 1994 ประทับใจการออกแบบที่สวยงามใช้งานง่าย คุณภาพของเลนส์ให้ภาพที่คมชัดมาก เป็นกล้องที่ฉลาดในการจับภาพในทุกสภาพแสง แต่ข้อเสียคือขนาดที่ใหญ่ และหนาถ้าเทียบกับกล้องตัวอื่นและรีโหลดแฟลชค่อนข้างช้าประมาณ 6 วินาที ถึงจะถ่ายด้วยแฟลชอีกภาพได้
Yashica T4/T5 (1993-1996)
กล้องคอมแพ็คยอดนิยมในหมู่ช่างภาพ protrait ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งยังเป็นกล้องคู่ใจของช่างภาพชื่อดังอย่าง Terry Richardson เพราะเขาใช้กล้อง Yashica T4 ถ่ายงานเกือบทุกชิ้นตลอดยุค 90s ด้วยอานุภาพของเลนส์ Carl Zeiss Tessar T* 35mm f/3.5 ระบบโฟกัสที่แม่นยำ และแฟลชอันชาญฉลาดที่วางตำแหน่งอยู่ใกล้ตัวเลนส์ ซึ่งทำจะทำให้เงาของแบบตกใกล้กับตัวแบบเวลาถ่ายใกล้ๆฉากซึ่งเป็นสไตล์โปรดของ Terry Richardson เลย ทั้งหมดนี้ถูกใส่มาในกล้องพลาสติกขนาดเล็กซึ่งมีน้ำหนักเพียง 170 กรัม พร้อมด้วยฟังก์ชั่นการทำงานทีแสนจะเรียบง่าย และด้วยความฉลาดของกล้องทำให้คุณแทบจะไม่ต้องคิดอะไรมากมายเกี่ยวกับการตั้งค่าต่างๆ เกี่ยวกับกล้องเลย กล้องนี้ไม่มีโหมดอื่น นอกจากถ่าย เปิดแฟลช ปิดแฟลช และตั้งเวลาถ่ายภาพเท่านั้น สมกับเป็นกล้อง Point and shoot จริงๆ
กล้อง Yashica T4 ถูกแยกย่อยออกเป็นหลายรุ่น ทั้ง Yashica T4 Super/T5 ซึ่งถูกอัพเกรดฟังก์ชั่นช่องมองภาพด้านบน (super scoop) เข้ามา รวมถึงยังมีรุ่น Slim T และ T Proof ซึ่งเป็นชื่อของกล้อง Yashica T4 ซึ่งวางขายในประเทศญี่ปุ่น โดยที่ทั้งหมดนั้นใช้เลนส์รุ่นเดียวกัน และคุณสามารถซื้อรุ่นใดรุ่นหนึ่งก็ได้ แต่คุณอาจจะต้องควักเงินมากเสียหน่อยสำหรับกล้องตัวนี้ เพราะนี่คือกล้องคอมแพ็คอันดับต้นๆ ที่คนเล่นกล้องฟิล์มต้องการมากที่สุด
ราคาปัจจุบันบนเว็บไซต์ Ebay 9,000 – 18,000 บาท
Comment & Picture by Owner of T4
Piyathath Patiparnprasert | Photographer | @gongtairoop
Yahsica T4 เป็นกล้องที่ผมใช้งานมาประมาณ 1 ปี แล้ว เพราะประทับใจคุณภาพของเลนส์ตัวนี้มาก เนื่องจากคุณภาพสูงไม่แพ้พวกกล้อง SLR ตัวใหญ่ๆ รวมไปถึงการโฟกัสที่แม่นยำ และแฟลชที่ประมวลผลค่อนข้างฉลาด แต่อาจจะคำนวนผิดพลาดบ้าง แต่โดยอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้
Leica Minilux (1995)
กล้องพรีเมี่ยมคอมแพ็คจากแบรนด์ดังสัญชาติเยอรมันเยอรมัน ซึ่งถูกผลิตขึ้นในประเทศญี่ปุ่น มาพร้อมกับดีไซน์หรูหราสมกับตรา Leica จับคู่มากับเลนส์ Summarit 40mm f/2.4 ที่ให้คอนทราสต์และโทนสีภาพตามคาแรคเตอร์ของ Leica อีกทั้งฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบถ้วนทั้งการปรับรูรับแสง และการหาระยะแบบ manual แต่จากการทดลองใช้พบว่ากล้องตัวนี้ค่อนข้างจะเชื่องช้าไปเสียหน่อย เมื่อนำไปเทียบกับกล้องคู่ปรับอย่าง Contax T2 ตั้งแต่ช่วงเปิดเครื่อง การหาออโต้โฟกัส หรือแม้แต่การปรับเปลี่ยน EV ซึ่งถูกนำไปอยู่ในเมนูที่ยากต่อการใช้งาน แต่ถ้าหากคุณไม่ได้รักความเร็ว และมีเวลาเหลือเฟือในการถ่ายภาพ รวมถึงกำลังมองหากล้องที่ดีไซน์สวยงาม งานประกอบเป็นเลิศ ดูมีสง่าราศรียามหยิบขึนมาถ่ายรูป เชื่อว่า Leica Minilux จะเป็นกล้องที่ตอบโจทย์ของคุณอย่างแน่นอน
ราคาปัจจุบันบนเว็บไซต์ Ebay 17,000 – 24,000 บาท
Comment & Picture by Owner of Minilux
Pongsakorn Jongwilas | Actor, DJ | @lollipop_pimp
Leica Minilux เป็นกล้องที่ผมใช้งานมาเกือบ 3 ปีแล้วครับ เพราะประทับใจความง่ายของมัน ถ่ายอะไรก็สวยไปหมด มีโหมด P ให้ใช้สำหรับมือใหม่ และยังสามารถปรับใช้ระบบ manual focus และก็เลือกรูรับแสงที่เราต้องการได้ โดยที่กล้องจะหาความไวชัตเตอร์ที่พอดีให้เราเอง ข้อเสียข้อเดียวสำหรับผมคือ รหัส error E-02 ซึ่งว่ากันว่า minilux ทุกตัว ช้าเร็วก็ต้องเจอ (ตัวผมเจอมาแล้ว) เป็นอาการเสียของสายแพร แต่ก็ยังโชคดีที่เมืองไทยสามารถหาช่างที่ซ่อมได้ในราคาที่ไม่แพง
Minolta TC-1 (1996)
กล้องพรีเมี่ยมคอมแพ็ครุ่นเรือธงจาก Minolta ที่มาพร้อมกับรูปลักษณ์ขนาดจิ๋ว แต่มากด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นการ manual focus วงแหวนปรับรูรับแสงที่น่าเลนส์ซึ่งออกแบบมาได้อย่างสวยงามแปลกตา ตัวบอดี้ทำจาก titanium แข็งแรง ให้ความรู้สึกมั่นใจสมกับเป็นกล้องระดับ hi end นอกจากนี้ยังสามารถปรับ viewfinder ให้เข้ากับความสั้นยาวของสายตาได้อีกด้วย ซึ่งยากที่จะพบได้ในกล้องคอมแพ็คทั่วไป
TC-1 มาพร้อมกับเลนส์ Rockkor 28mm/f3.5 เลนส์ไวด์ที่ให้ภาพคมกริบ และโทนสีที่มีคาแรคเตอร์ชัดเจนตามสไตล์ของ Minolta ซึ่งสามารถทำออกได้น่าประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นภาพสีหรือขาวดำ นอกจากนี้ยังเป็นกล้องที่มีคนใช้น้อยรวมถึงราคาในท้องตลาดก็ค่อนข้างสูง เหมาะสำหรับนักเล่นกล้องที่มีงบประมาณสูงและชอบความแตกต่างไม่เหมือนใคร
ราคาปัจจุบันบนเว็บไซต์ Ebay 17,000 – 28,000 บาท
Comment & Picture by Owner of TC-1
Arithat Ariyawong | Engineer | @coolklong
ผมได้กล้องตัวนี้มาจากการซื้อกล้องญี่ปุ่นแบบยกลัง และปรากฎว่ามี TC-1 อยู่ด้วยเลยมีโอกาสได้ใช้ จุดเด่นของกล้องตัวนี้คือความคมของเลนส์ ฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลายและขนาดที่เล็กถ้าเทียบกับ Compact ตัวอื่น แต่ข้อด้อยของมันคือเป็นกล้องที่ค่อนข้าง snap ได้ยากเพราะเวลาเปิดกล้องค่อนข้างช้า ต่างจากกล้องตัวอื่นอย่าง μ[mju:]-II ที่สามารถเปิดกล้องแล้วถ่ายได้ทันที
Ricoh GR1 / GR1s / GR1v (1996)
สุดยอดกล้องคอมแพ็คที่ถูกสรรค์สร้างมาเพื่อช่างภาพสายสตรีทอย่างแท้จริง ด้วยการออกแบบที่เล็กกะทัดรัดสามารถพกพาใส่กระเป๋าเสื้อหรือกระเป๋ากางเกงได้อย่างง่ายดาย ระบบการทำงานที่รวดเร็วฉับไว โฟกัสที่ค่อนข้างไว้ใจได้ ปุ่มคอนโทรลต่างๆ ถูกจับวางในตำแหน่งที่เหมาะสมกับการใช้งาน นอกจากนี้ยังมีโหมดไม้ตายอย่าง snap ที่ให้คุณตั้งระยะโฟกัสไว้ล่วงหน้า และสามารถถ่ายได้ทันทีเมื่ออยู่ในระยะที่เลือกไว้ นั่นจึงเป็นเหตุให้ชาวสตรีทหลายคนรักกล้องตัวนี้ เพราะความรวดเร็วของโหมด snap นี้ ทำให้บุคคลที่โดดยถ่ายแทบจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าถูกจับภาพไปแล้ว
ฟังก็ชั่นทั้งหมดที่กล่าวมาถูกประกบคู่มากับเลนส์ขนาด 28mm f/2.8 ซึ่งเป็นต้นแบบของกล้อง Ricoh GR Digial ในปัจจุบัน ที่ให้ภาพและสีสันอันเป็นเอกลักษณ์ และมีคาแรคเตอร์ชัดเจน โดยเฉพาะภาพขาวดำ ที่กล้องตัวนี้ทำออกมาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ซึ่งกล้องในซีรี่ย์ GR1 ถูกพัฒนาต่อยอดมาเป็น GR1s และ GR1v ซึ่งมีการปรับปรุงและแก้ไขเล็กน้อยในแต่ละรุ่น อย่างเช่นการเปลี่ยน Coated เลนส์ใน GR1s และสามารถตั้ง iso แบบ manual ได้ใน GR1v ซึ่งทุกรุ่นของซีรี่ย์นี้มีจุดเสียร่วมกันคือจอ LCD ที่เริ่มเสื่อมสภาพตามกาลเวลา
ราคาปัจจุบันบนเว็บไซต์ Ebay 11,000 – 22,000 บาท
Comment & Picture by Owner of GR1
Kuntaput Sirikiattiyot | Creative Director | @ballisticone
ผมได้สัมผัสกับกล้องฟิล์ม Ricoh GR1 เมื่อประมาณ 4-5 เดือนก่อน ชอบที่เป็นกล้องที่มีขนาดเล็กและมีน้ำหนักเบากว่ากล้องตัวอื่นๆที่เคยสัมผัสมา รวมถึงมีโหมด Snap ทำให้สามารถถ่ายภาพได้รวดเร็ว โดยการ pre-focus ได้ล่วงหน้า จุดเด่นของกล้องตัวนี้คือเลนส์ 28mm ที่มีความคมชัดมาก ถ่ายขาวดำสวย จุดด้อยน่าจะเป็นเรื่องของการถ่ายภาพสี ที่กล้องตัวนี้จะให้อารมณ์ภาพสีตุ่นไม่ใสเหมือนกล้องตัวอื่น
Olympus μ[mju:]-II (1997)
อีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่สนใจอยากเริ่มเล่นกล้องฟิล์ม กับกล้องคอมแพ็คตัวท๊อปของค่าย Olympus ซึ่งถูกพัฒนาต่อยอดมาจากความสำเร็จของ μ[mju:] รุ่นแรก และแทนที่ด้วยเลนส์ 35mm f/2.8 ซึ่งไวแสงกว่าเดิม 1 stop พร้อมปรับการโฟกัสให้แม่นยำกว่าเดิม และเพิ่มระบบวัดแสงเฉพาะจุด (spot metering) ซึ่งถือว่าทันสมัยมากในสมัยนั้น บอดี้ทำจากพลาสติกคุณภาพดีซึ่งถูกเคลมว่าสามารถทำงานได้ทุกสภาพอากาศ ที่สำคัญคือราคาที่น่าคบหามากที่สุดในบรรดากล้องที่เราเลือกมาในวันนี้ แต่ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสียเพราะกล้องตัวนี้มาพร้อมกับปัญหาประจำรุ่นคือจอ LCD ที่เริ่มจะเลือนลาง และปัญหาแสงรั่วจากฟองน้ำที่เสื่อมสภาพตามกาลเวลา ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะมากวนใจกล้องของคุณแน่นอนไม่วันใดก็วันหนึ่ง และราคาที่เริ่บถีบตัวสูงขึ้นเกือบเท่าตัวในระยะเวลาเพียงไม่นาน แต่โดยรวมแล้วก็ยังเป็นกล้องที่อยากแนะนำสำหรับใครที่กำลังมองหากล้องขนาดเล็กคุณภาพดีในราคาที่ไม่แพงจนเกินไป
ราคาปัจจุบันบนเว็บไซต์ Ebay 4,000 – 8,000 บาท
Comment & Picture by Owner of mju
Nalin Satearrujikanon | Model | @realnalyyn
นลินศึกษาข้อมูลกล้องตัวนี้มานานมาก จนได้เป็นเจ้าของเมื่อ 1-2 เดือนก่อน แน่นอนว่าภาพที่ได้ไม่ทำให้ผิดหวังคมชัดอย่างที่ทุกคนพูดถึง กล้องทำงานรวดเร็ว แฟลชฉลาดทำให้นลินสนุกกับการใช้แฟลชของมันมาก แต่ก็พบกับปัญหาคืออาการแสงรั่ว ซึ่งเกิดจากโฟมตรงฝาหลังเสื่อมสภาพตามกาลเวลา และบางครั้งก็หลุดโฟกัสแบบดื้อๆ ต้องใช้ความนิ่งสักนิดเวลาถ่ายในที่แสงน้อย
Fuji Natura (2001)
อีกหนึ่งผลงานจากFujifilm ที่มักจะไม่เป็นที่พูดถึงมากนัก เพราะด้วยข้อจำกัดของกล้องตัวนี้ซึ่งถูกผลิตออกมาเพื่อวางจำหน่ายเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น จึงเป็นกล้องที่หาคนใช้ยากสักหน่อยในบ้านเรา แต่ทีเด็ดของกล้อง Natura คือเลนส์ที่มีระยะกว้างถึง 24mm และรูรับแสงที่กว้างจนน่าตกใจกว่า f/1.9 ดีไซน์หรูหราเล็กบางเบา สมกับเป็นกล้องคอมแพ็คจริงๆ นอกจากนี้ยังมีระบบการทำงานที่ฉลาดเพราะเป็นกล้องที่ถูกพัฒนาขึ้นในยุค 2000 ทำให้มีเทคโนโลยีที่ช่วยในการถ่ายภาพมากขึ้น โฟกัสแม่นยำ วัดแสงที่ค่อนข้างฉลาด แต่น่าเสียดายที่กล้องตัวนี้จะมีเมนูการใช้งานเฉพาะภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น
นอกจากจะผลิตกล้องแล้ว Fujifilm ยังผลิตฟิล์ม NP มาเพื่อใช้งานกับกล้องรุ่นนี้อีกด้วย ซึ่งเจ้าฟิล์ม NP นี้จะมี iso อยู่ที่ 1600 แต่สามารถถ่ายได้ทั้งตอนกลางวันที่แดดจ้า และในตอนกลางคืนได้ในฟิล์มม้วนเดียวกัน แต่ค่อนข้างจะหาฟิล์มชนิดนี้ยากและมีราคาสูงเสียหน่อย
ราคาปัจจุบันบนเว็บไซต์ Ebay 27,000 – 35,000 บาท
Comment & Picture by Owner of Nutura
Lertkiat Chongjirajitra | Musician | @lertkiatography
เริ่มใช้กล้องตัวนี้บาทได้ประมาณหนึ่งปี เริ่มจาก Natura S ตอนอัพรุ่นมาเป็น Natura Black เหตุผลที่ชอบกล้องตัวนี้เพราะว่าเลนส์มีความไวแสงมากสุดถึง f/1.9 และมีความกว้าง 24mm ซึ่งอยู่ในช่วงที่ผมชอบ ขนาดเล็กพกพาสะดวก นอกจากนี้เวลาโหลดฟิล์มกล้องจะดึงฟิล์มออกไปทั้งม้วนและจะเก็บเข้ากลักไปทีละรูป ถ้าเกิดอุบัติเหตุอะไรก็ตามอย่างน้อยรูปที่ถ่ายไปแล้วก็จะอยู่ในกล่องปลอดภัยแน่นอน เมนูเข้าถึงง่ายและใช้ง่ายมากๆ แต่ถ้าหากต้องการจะใช้ฟิล์ม NP (Natural Photo) จะมีราคาค่อนข้างสูงมาก และหากถ่ายในที่แสงมืดมากแล้วโดยไม่ใช้แฟลช ภาพที่ออกมาจะมี Noise รบกวนอยู่ค่อนข้างมาก
Contax T3 (2001)
สุดยอดของกล้องคอมแพ็คซึ่งถูกพัฒนาต่อยอดมาจาก Contax T2 โดยถูกปรับเลนส์จาก 38mm ให้กลายเป็น 35mm Sonnar f/2.8 พร้อมทั้งใส่ฟังก์ชั่นการใช้งานทันสมัยมากที่สุดเท่าที่เทคโนโลยียุคก่อนจะอำนวย โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ที่สวยงาม และดีไซน์ที่บางเฉียบทำให้สามารถพกใส่กระเป๋าเสื้อหรือกระเป๋ากางเกงไปได้ทุกที่ ระบบการทำงานที่เกือบสมบูรณ์แบบของเทคโนโลยีเมื่อ 10 กว่าปีก่อน วัดแสงแม่นยำ โฟกัสฉับไว และเป็นแฟลชอันชาญฉลาด ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะถูกใส่มาไว้ในกล้องขนาดเล็กกว่าฝ่ามือได้ แต่ด้วยขนาดเล็กนั้นก็มีข้อเสียตามมาเพราะทำให้ฟังก์ชั่นหลายอย่างถูกนำไปซ่อนไว้ในเมนูที่ลึก และยากต่อการใช้งานเมื่อเทียบกับ Contax T2 แต่ถึงอย่างไรก็ตาม Contax T3 ก็ยังคงเป็นกล้องประเภท point & shoot ที่มีราคาสูงสุดในปัจจุบัน และยากที่จะมีกล้องตัวใดมาล้มแชมป์ได้
ราคาปัจจุบันบนเว็บไซต์ Ebay 39,000 – 60,000 บาท
Comment & Picture by Owner of T3
Thirawat Saengchat | Photography | @jumpeeeee
แรกเริ่มเราได้ยินชื่อเสียงของกล้องตัวนี้ในแง่ดีเยอะ แต่ไม่รู้หรอกว่ามันดีจริงไหม จะได้มีโอกาสนำไปเที่ยว ถ่ายคน ถ่ายเมือง จนรู้สึกว่ามันเป็นกล้องที่ง่ายมาก ภาพคม โฟกัสไว ถ่ายสนุกไม่ต้องทำอะไรมาก เจอจังหวะก็กดถ่ายได้เลย แต่ติดอยู่ตรงที่รู้สึกว่าราคามันแพงไปหน่อย
Fuji Klasse S/W (2007)
Fujifilm คือหนึ่งในไม่กี่บริษัทที่ยังคงผลิตกล้องฟิล์มจนถึงยุคสุดท้ายก่อนที่จะถูกดิจิทัลเข้ามาแทนที่ ซึ่งกล้อง Fuji Klasse S / W ถูกผลิตขึ้นมาเมื่อปี 2007 โดยที่รุ่น S จะเป็นเลนส์ระยะปกติ 38mm f/2.8 ส่วนในรุ่น W นั้นจะเป็นเลนส์ไวด์ 28mm f/2.8 ซึ่งทั้งคู่เป็นกล้องประเภท point & shoot ที่ถูกพัฒนาขึ้นด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากที่สุดในยุคนั้น เรียกได้ว่าเกือบจะเป็นกล้องดิจิทัลเลยก็ว่าได้ ด้วยระบบการทำงานที่สุดแสนฉลาด วัดแสงที่เที่ยงตรง และออโต้โฟกัสที่แม่นยำ นอกจากนี้ยังสามารถปรับชดเชยแสง EV และกะระยะโฟกัสแบบ manual ได้อีกด้วย
อีกทั้งกล้องตัวนี้ยังใช้เลนส์คุณภาพสูงซึ่งเป็นต้นกำเนิดของเลนส์ตระกูล XF ที่ใช้กับกล้องฟูจิในปัจจุบัน แต่ก็มีหลายเสียงจากผู้ใช้งานกล่าวว่า ภาพที่ได้จากเลนส์ตัวนี้อาจให้มิติที่แบนไปเสียหน่อย แต่เมื่อเทียบกับขนาดของกล้องแล้วก็ถือว่าไม่ได้เลวร้ายอะไรมากนัก
ราคาปัจจุบันบนเว็บไซต์ Ebay 18,000 – 30,000 บาท
Comment & Picture by Owner of Klasse
Artyt Lerdrakmongkol | Photogreapher | @artytl
ผมใช้ Fuji Klasse เป็นกล้องสำรองของ Leica M6 เวลาถ่ายสตรีท ผลงานมันเรียกว่าแทบแยกไม่ออกระหว่างกล้องหลัก Leica M6 เลย การเซ็ตอัพค่าที่จำเป็นครบเลยเลือกใช้มาตลอด จุดเด่นคือคุณภาพเลนส์ , วัดแสงแม่นยำมาก ส่วนตัวชอบกว่าตระกูล Contax T อาจจะเพราะมันเป็นเทคโนโลยีใหม่กว่า จุดด้อยก็คงขนาดที่ไม่เล็กเท่าพวก Contax T3 (แต่ข้อดีมันก็มากกว่านะ) กับการเซ็ทค่าบางอย่างก็ต้องเข้าไปลึกอยู่ แต่ก็ไม่เกินความสามารถ
และทั้งหมดนี้คือกล้องคอมแพ็คฟิล์ม ที่ทีมงาน SneakaVilla คัดสรรค์มาแล้วว่ายอดเยี่ยมที่สุด และคู่ควรแก่การครอบครองสักครั้งในชีวิต ซึ่งอาจจะโดนใจหรือขาดกล้องตัวเก่งของใครไปบ้าง เพราะแต่ละคนย่อมมีกล้องตัวโปรดที่แตกต่างกันออกไป พวกเราเพียงนำเสนอสิ่งที่คิดว่าเหมาะสมให้คุณเป็นตัวเลือกเท่านั้น เนื่องจากไม่มีกล้องตัวใดในโลกสมบูรณ์แบบที่สุด และคุณต้องเป็นคนตัดสินด้วยตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่ใช่สำหรับคุณ
ชมสินค้าจากคอลเลคชั่น FILM IS NOT DEAD คอลเลคชั่นล่าสุดจากแบรนด์ SneakaVilla ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวของกลุ่มคนที่หลงใหลการบันทึกภาพบนแผ่นฟิล์มคลิกที่นี่
หรือชมสินค้าบางส่วนเพิ่มเติมด้านล่าง
SneakaVilla Shoot More Films T-Shirt (White)
SneakaVilla Shoot More Films Hoodie (Blue)
SneakaVilla Disposable Camera Pocket T-Shirt
SneakaVilla Film is Not Dead Pocket T-Shirt
SneakaVilla Disposable Camera Baseball Cap
฿325.00SneakaVilla FILM IS NOT DEAD Baseball Cap
฿325.00