นาทีนี้คงไม่มีสาวก hip hop คนไหนไม่รู้จัก Kendrick Lamar นอกจากรางวัลการันตีคุณภาพอย่าง Best Rap Performance และ Best Rap Song จาก Grammy Awards, ขึ้นอันดับ 1 ชาร์ท Billboard, และรางวัล Generational Icon award จาก California’s 35th Senate District แล้ว แร็ปเปอร์รุ่นใหญ่ฝั่ง West Coast อย่าง Dr. Dre และ Snoop Dogg นั้นถึงกับขนานนาม Kendrick ว่าเป็น “ราชาแห่ง West Coast rap” เลยทีเดียว ไม่เพียงแค่บทเพลงของเขาเท่านั้นที่น่าสนใจ แต่เราเชื่อว่าเรื่องราวชีวิตส่วนตัวของแร็ปเปอร์คนนี้ก็ควรค่าแก่การอ่านเช่นกัน ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนเพลงของเขาหรือไม่ก็ตาม
ทักษะการ freestyle ของ Kendrick นั้นโดดเด่นมาตั้งแต่ช่วงแรกๆ แล้ว หนึ่งในครั้งที่ยอดเยี่ยมของเขาคือตอนที่เขาไปดูโชว์ของ Charles Hamilton โดย Kendrick เล่าให้รายการ Well Versed ฟังว่า “มีช่วงหนึ่งในโชว์ของ Charles ที่เจ๋งมากๆ เขาเข้าไปแร็ปใส่คนดู พอดีว่าผมเป็นหนึ่งในคนดูพวกนั้นด้วย ผมก็เลยแร็ปโต้เขาไป แล้วมันก็กลายเป็น rap battle ย่อมๆ ไปเลยล่ะ”
ขณะที่ Kendrick นั้นยึดมั่นในผลงานเพลงและหลักการของตนเอง เขาก็ต้องสูญเสียทั้งเพื่อนและญาติพี่น้องไปมากมาย โดยเจ้าตัวให้สัมภาษณ์กับ Spin ไว้ว่า “ผมเห็นแต่เรื่องเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อนสนิทของผมหลายคนต้องติดคุก แต่ไม่มีใครได้ออกมา แล้วก็ตายไปทีละคน แต่ผมก็ถือว่าการที่ผมยังนึกถึงเรื่องนี้อยู่เสมอคือของขวัญจากพระเจ้านะ ”
แม้ Kendrick จะปฏิเสธว่า เขาไม่ได้เอาเรื่องที่ว่าไปใส่ในเพลง แต่เรื่องราวเกี่ยวกับความรุนแรงของแก๊งและยาเสพติดที่เขาได้เจอมาในวัยเด็กคือแก่นแท้ในผลงานของเขา อย่างในเพลง “Average Joe” จาก mixtape ชื่อว่า Overly.Dedicated ที่ทำให้เขาได้เซ็นสัญญากับค่ายใหญ่ของ Dr. Dre นั้น เขาก็พูดถึงเหตุการณ์ที่ต้องเผชิญหน้ากับแก๊งอันธพาลและถูกไล่ยิงเพียงเพราะเป็นเพื่อนกับคนที่อยู่ในแก๊งคู่อริ แม้ว่าเขาจะไม่ได้สังกัดแก๊งไหนเลยก็ตาม
Eminem ผู้ซึ่งเคยร่วมทัวร์กับ Kendrick เล่า ให้ New York Times ฟังเกี่ยวกับผลงานชุดนี้ว่า “เราเคยเจอกันใน Compton มาก่อน แต่แนวทางที่ Kendrick ทำเพลงนั้นดูแตกต่างจากคนอื่นๆ มาก ทุกเพลงในอัลบั้มมีการเชื่อมต่อกันอย่างยอดเยี่ยมตั้งแต่เพลงแรกจนเพลงสุดท้าย สำหรับผมแล้ว หมอนี่มันอัจฉริยะชัดๆ ”
เรื่องราวในเพลง Average Joe คือหนึ่งในแรงบันดาลใจที่บรรจุอยู่ในคอนเซ็ปต์อัลบั้ม good kid m.A.A.d. city ของ Kendrick ที่ได้เข้าชิงรางวัล Grammy Awards ซึ่งหาเรามองลึกลงไปในบทเพลงทั้งอัลบั้มจะเห็นได้ว่ามันคือเรื่องราวใน Compton และแรงผลักดันที่ทำให้เขากลายเป็น Kendrick เช่นในทุกวันนี้
ในที่สุดอัลบั้มดังกล่าวก็ทำให้ Kendrick ก้าวสู่กระแสหลัก แต่ชื่อเสียงของเขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จนปัจจุบันเขากลายเป็นผู้นำ hip hop ด้วยการเล่าเรื่องจากประสบการณ์ตรงของเขาเพื่อช่วยเหลือคนอื่นในการหลีกเลี่ยงความรุนแรงและการทำร้ายตัวเอง เมื่อไม่นานมานี้ Kendrick ได้เล่าให้ Rolling Stone ฟังว่า “แม่ของผมมักจะถามผมเสมอว่า ‘ลูกจะยอมเป็นเหยื่อไปอีกนานแค่ไหนกัน’ ซึ่งผมบอกได้เลยว่าผมโกรธมาก แล้วก็เกลียดทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ แต่มันก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนถ้าหากผมไม่ยอมเปลี่ยนตัวเอง เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเกิดเรื่องแย่ๆ อะไรขึ้นในชุมชนที่ผมอยู่ ผมก็จะแข็งแกร่งพอที่จะพูดว่า ‘ช่างมัน’ เพื่อยอมรับสิ่งที่ตัวเองเป็นและยอมรับผลของการรับมือกับปัญหา” ด้วยเหตุนี้ อัลบั้มอัตชีวประวัติของเขาจึงแสดงถึงการต่อสู้กับแรงกดดันและแสวงหาความแข็งแกร่งจากความพ่ายแพ้ เพื่อที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้นให้เกิดขึ้น
ในบทสัมภาษณ์กับ Mass Appeal เขาได้บอกไว้ว่า “ผมได้นิยามสิ่งที่เขาเรียกว่า ‘Keeping it gangsta’ ขึ้นมาใหม่ สำหรับผมแล้ว มันคือการดูแลครอบครัว จัดการเรื่องของตัวเองให้ดี และมอบพลังด้านบวกให้กับทุกคน ให้คนอื่นๆ ได้ประโยชน์ด้วย ไม่ใช่แค่เสวยสุขอยู่คนเดียว ”
หากจะค้นถึงที่มาว่าเหตุใด Kendrick จึงเลือกเส้นทางการเป็นแร็ปเปอร์แทนที่จะเป็นแก็งสเตอร์ คงต้องย้อนกลับไปในปี 1995 เมื่อ Dr. Dre และ Tupac เดินทางไปถ่ายทำ MV เพลง California Love ที่เมือง Compton พร้อมทั้งได้พบปะพูดคุยกับชาวเมือง ซึ่งตอนนั้น Kendrick ในวัย 8 ขวบ ที่กำลังขี่คอพ่อดูการถ่ายทำ MV อยู่ก็มีโอกาสได้เจอตัวจริงของแร็ปเปอร์ชื่อดังทั้งสองเช่นกัน ใครจะไปคิดว่า เวลาผ่านไปเกือบ 20 ปี Kendrick ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ นานาจนได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงเดียวกันของแร็ปเปอร์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองที่เจ้าตัวเคยเจอในวัยเด็ก แถมยังอยู่ภายใต้การดูแลของ Dr. Dre เองอีกต่างหาก ทั้งนี้ ในอัลบั้มล่าสุดของเขา “To Pimp a Butterfly” ยังมีเพลงที่เขาแต่งให้กับ Tupac ผู้ล่วงลับเพื่อแสดงความชื่นชมเป็นการส่วนตัวอีกด้วย
Featured photo credit: soundisstyle
Translated & Edited by Pakazite